Review Mitsubishi XFORCE HEV ลงถนนจริง ขับดี ประหยัด จริงหรือไม่

Review Mitsubishi XFORCE HEV ลงถนนจริง ขับดี ประหยัด จริงหรือไม่ หลังจากที่เราได้ไปทดสอบเจ้า Mitsubishi XFORCE HEV กันในสนามปทุมธานี สปีดเวย์ กันมาแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นเป็นสนามปิด มีการเซ็ทสเตชั่นต่างๆเอาไว้ จึงไม่ได้ทดสอบอะไรมากเท่าไหร่ มาครั้งนี้เรามีโอกาสเข้าร่วมการทดสอบแบบกลุ่ม เป็นการขับจริงใช้งานจริงบนเส้นทางภูเก็ต –กระบี่ เรามาดูกันว่า Mitsubishi Xforce คันนี้ลงถนนจริงแล้วจะดีจริงหรือไม่
โดยรุ่นที่เราได้ทำการทดสอบแน่นอนเป็นรุ่นท็อปสุดของ XFORCE คือรุ่น ULTIMATE X ราคา 1,089,000 บาท บทความนี้เราจะได้ผู้ถึงดีไซน์ภายนอก –ภายใน แล้วเอาเป็นว่าเราไปเริ่มทดสอบกันเลย
Review Mitsubishi XFORCE HEV
เราบินออกจากกรุงเทพช่วงเช้ามุ่งหน้าสู่จังหวัดภูเก็ต เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินภูเก็ต ก็มี XFORCE HEV ULTIMATE X คันที่เราจะได้ทดสอบมาจอดรอรับเราพร้อมคนขับ ช่วงเช้าเราเลยได้มีโอกาสทดลองนั่งเบาะหลังกันก่อนเลย ด้วยความที่เจ้า
XFORCE HEV คันนี้มีมิติตัวถังที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม B-SUV บวกกับการดีไซน์ภายในที่ดี ทำให้เบาะแถวสองกว้างขวาง และนั่งสบายมาก สบายกว่าคู่แข่งอย่าง Honda HR-V และ Toyota Corolla Cross
แถมพนักพิงยังสามารถปรับเอนได้สองระดับอีกต่างหาก พื้นเรียบไม่มีอุโมงค์เกียร์ ผมสูง 180 นั่งสบายพื้นที่เหลือเฟือ ถึงแม้เบาะนั่งจะสั้นไปนิดแต่ก็สบายอยู่ดี มีแอร์หลังเย็นสบาย ตลอดการเดินทาง ช่วงล่างปรับเซ็ทมาดีนุ่มนวลนั่งสบาย
เดินทางมาถึงจุดหมายแรกมิตซูบิชิจัดหนักให้ เราจะเอารถ XFORCE HEV ที่ขับเคลื่อนล้อหน้า และยาง HT (Highway Terrain) เดิมติดรถ มาลุยทางฟุ่น และทางโคลนแบบหนักๆจัดเต็มกันดูซิว่ามันจะผ่านไปได้หรือไม่
โดยรอบแรกเราปรับโหมดไปที่ GRAVEL MODE หรือโหมดลุยทางฝุ่น ทางลูกรัง หินลอยอะไรประมาณนี้ ในโหมดนี้ระบบจะจัดการให้การทำงานของ Traction Control และ AYC ลดลง และปรับให้พวงมาลัยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้รถคันนี้ควบคุมง่าย และขับสนุกบนเส้นทางแบบนี้ สามารถผ่านไปได้แบบสบายๆ
ทางแรกไม่เท่าไหร่ มาเจอทางโคลนนี้ซิหนักหน่วงครับ เพราะฝนตกลงมาก่อนหน้าทำให้เละและลึกกันเข้าไปใหญ่ ผมปรับเป็น MUD MODE พร้อมลุย แน่นอนโหมดนี้จะลดการทำงานของ Traction Control และปิดระบบ AYC ลดการตอบสนองของคันเร่งลง และปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้เหมาะสม
ทั้งหมดนี้มันส่งผลให้ XFORCE HEV คันนี้ ผ่านเส้นทางที่ค่อนข้างโหดสำหรับรถขับสองล้อหน้ายางเดิมแบบนี้ไปได้แบบง่ายๆ ไม่ใช้ทักษะในการขับอะไรมาก อันนี้เซอร์ไพรส์จริงครับ ทำได้ดีมากครับ ถามว่าคู่แข่งสามารถผ่านเส้นทางแบนี้ได้หรือไม่ ตอบว่าได้เหมือนกันครับแต่อาจจะลำบากกว่า ต้องใช้ทักษะของผู้ขับเยอะกว่า
สรุปว่าสองโหมดนี้มันดีอย่างไร บอกบอกแบบนี้ครับ มันดีต้องที่ว่า เจ้ารถคันนี้มันสามารถช่วยตัวเองได้ในยามที่ต้องเจอกับสภาพถนนที่เป็นโคลนเละแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่นคุณขับไปงานบุญในพื้นที่ห่างไกล เกิดเจอพายุฝนตกกระหน่ำ ทางที่เข้ามากลายเป็นโคลน XFORCE HEV คันนี้พาคุณกลับบ้านได้แน่นอน แต่ไม่ใช้เอาไปลุยแบบรถกระบะขับสี่นะแบบนั้นกินข้าวลิงแน่นอนเหมือนกัน
ลุยกันเสร็จก็ไปทดลองขับกันต่อบนถนนจริงกันเลย เราวิ่งผ่านเมืองภูเก็ตซึ่งมีถนนที่แคบ และรถติดพอๆกับกรุงเทพ ในการขับขี่ภายในเมืองมีความคล่องตัวดี สามารถลัดเลาะตามช่องว่างได้สบาย อัตราเร่งออกตัวทำได้ดีกระฉับกระเฉงดี ส่วนมากจะใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก ออกมานอกเมืองมีทางตรงยาวๆให้ได้ลองอัตราเร่งกันหน่อย กดคันเร่งลงไปออกตัวทำได้ดี และลื่นไหล ความเร็วเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่องแบบนวลๆ ไม่กระโชกโฮกฮาก ช่วงนี้ก็ยังเป็นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า สลับกับเครื่องที่ติดขึ้นมาช่วยในการปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่ และช่วยขับเคลื่อนในบางจังหวะ อย่างเช่นเร่งแซง เป็นต้น
เส้นทางยังคงตรงต่อเนื่องผมเลยเปลี่ยนโหมดเป็น TARMAC (ทำงานคล้ายโหมดสปอร์ต) อัตราเร่งกระฉับกระเฉงขึ้น แบบสัมผัสได้ รวมไปถึงพวงมาลัยมีน้ำหนักถึงมือขึ้น ขับสนุกขึ้นครับในโหมดนี้ ลองไปได้สักระยะผมเปลี่ยนกลับมาเป็น Normal เหมือนเดิม วิ่งยาวๆโดยใช้ความเร็วประมาณ 100 -120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยในช่วงนี้ทั้งมอเตอร์ และเครื่องยนต์ จะทำงานร่วมกัน เพราะมีบางช่วงเส้นทางมีขึ้น –ลงเขา และมีการเร่งแซงหลายครั้ง
เดินทางต่อกันยาวๆด้วยความเร็วคงที่ รถจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน โดยเครื่องยนต์ไฮบริดของมิตซูบิชิ เอ็กซ์ฟอร์ส เอชอีวี จะทำการ Disconnect Motor หรือ ตัดการทำงานของมอเตอร์ออกเพื่อลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น
ในส่วนของระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็น แม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม โดยมีการปรับเซ็ทให้เข้ากับถนนเมืองไทยมากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ก็ทำออกมาได้ดีจริงครับ วิ่งทางตรงยาวๆ ตัวรถนิ่ง สมูท นุ่มนวล สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ในการเข้าโค้งด้วยความเร็วตัวรถก็มีอาการโคลงให้ได้สัมผัสเล็กน้อย แต่ก็ยังให้ความมั่นใจในการขับขี่ ควบคุมง่าย ครับ ผมว่ามันเป็นธรรมดาครับกับรถยนต์ประเภท SUV แบบนี้ เพราะด้วยทรงของตัวรถ และการปรับเซ็ทระบบช่วงล่างโดยเน้น ความนุ่มนวลเป็นหลัก ไม่ได้เน้นซิ่งเน้นเพอร์ฟอร์แมนซ์ เพราะฉะนั้นจะให้มันเค้าโค้งเนียนกริป เหมือนรถสปอร์ต คงเป็นไปไม่ได้ ผมว่าระบบช่วงล่างของเจ้า all-new mitsubishi xforce hev คันนี้ทำออกมาได้ดี ลงตัวทีดียวครับ
ก่อนถึงกระบี่เหมือนเซ็ทมา เพราะอยู่ดีๆก็มีฟนตกลงมาค่อนข้างแรง ทำให้ถนนเปียกลื่น เลยได้ลองโหมด WET ซะเลย โหมดนี้จะเน้นหนักไปที่ Traction Control และ AYC ลดความไวของคันเร่งลง และเพิ่มน้ำหนักของพวงมาลัย มันทำให้เราขับขี่บนพื้นผิวถนนที่เปียกลื่นได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย
มาถึงสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ที่สุดนั้นก็คืออัตราสิ้นเปลือง เราวิ่งปกติ บนสภาพถนนที่หลากหลาย ทั้งทางตรงยาว ทางชึ้น-ลง เขา รถติดในเมือง และการเร่งแซง ความเร็วที่ใช้ประมาณ 100 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีการปั้นตัวเลขเราทำได้ประมาณ 16 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้าขับเนียนๆเดินคันเร่งเบาๆ 19 -20 กิโลเมตรต่อลิตร มีให้เห็น อัตราสิ้นเปลืองต้องบอกตามตรงว่าสู้คู่แข่งอย่าง Toyota Corolla Cross HEV ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่ผมว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว แลกกับรถที่ขับดี และช่วงล่างที่ปรับเซ็ทมาได้อย่างลงตัว
สรุป ภาพรวมการออกแบบทั้งภายนอกภายใน ทำได้ดี ภายนอกจะมีก็แค่ไฟเลี้ยว กับไฟเบรก ที่หลายคนว่ามันเล็กไปหน่อย แต่มันเห็นชัดนะครับ ภายในกว้างขวางนั่งสบาย โดยเฉพาะเบาะแถวสอง ระบบช่วยการขับขี่ต่างก็ให้มาแบบไม่น้อยหน้าคู่แข่ง มีโหมดการขับขี่ถึง 7 โหมด มากกว่าคู่แข่งแถมใช้งานได้จริง ช่วงล่างโดดเด่น อัตราเร่งดี อัตราสิ้นเปลืองอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถ้าอยากได้รถ SUV ไซส์กำลังดี ขับในเมืองง่าย เที่ยวต่างจังหวัดสบาย ขี้เกียจรอชาร์จไฟ กับราคาเริ่มต้นที่ 899,000 – 1,0890,000 บาท ผมว่า Mitsubishi XFORCE HEV มันก็น่าใช้อยู่นะ
เรื่อง : ณัฐพล เดชสิงห์
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานต์ยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th