A6 ตัวถังซีดานเจเนเรชันใหม่มากับการเน้นแอโรไดนามิก

เดือนมีนาคม 2025 ที่ผ่านมา Audi เปิดตัว A6 Avant ตัวถังแวกอนเจเนเรชันใหม่ออกมาพร้อมกับการเป็นรถมีแนวเส้นหลังคายาวที่มีแอโรไดนามิกดีที่สุดของแบรนด์ ล่าสุดรถเจเนเรชันใหม่มีตัวถังซีดานออกมาเป็นอีกทางเลือก โดยที่ยังคงเน้นแอโรไดนามิกของรถเหมือนกับตัวถังแวกอน

Audi A6 ใหม่อยู่บนแพลตฟอร์ม Premium Platform Combustion โดยตัวรถมีความยาว 4,990 มม. ซึ่งยาวขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า 60 มม. ส่วนระยะฐานล้อของรถมีความยาว 2,977 มม. ขณะที่รถมีความกว้าง 1,880 มม. ไม่รวมกระจกข้าง ส่วนดีไซน์ภายนอกรถด้านหน้ามากับกระจังหน้าซิงเกิลเฟรมขนาดใหญ่ ไฟหน้ารูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีไฟ Daytime Running Light ในลักษณะพิกเซลวางเรียงต่อเนื่องกันอยู่ด้านบน ส่วนด้านหลังของรถมีไฟท้ายเรียวเล็กพร้อมมีแถบไฟยาวเต็มความกว้างของรถอยู่ด้านล่างไฟท้าย

แม้จะเป็นรถซีดานแต่รถก็มาพร้อมกับแนวเส้นหลังคา, Air Curtain, Splitter หน้า และ Diffuser หลังเพื่อเน้นแอโรไดนามิกของรถ จนทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.23 Cd และเป็นรถเครื่องยนต์สันดาปที่มีแอโรไดนามิกดีที่สุดของค่าย 4 ห่วง

ห้องโดยสารของรถมากับค็อกพิตดิจิตอลมีจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 11.9 นิ้ว ส่วนจอ Infotainment มีขนาด 14.5 นิ้ว โดยที่มีการแสดงข้อมูล Head-up Display บนกระจกหน้าและจอขนาด 10.9 นิ้วหน้าผู้โดยสารที่เบาะหน้าเป็นออปชันให้เลือก เช่นเดียวกับระบบเสียง Bang & Olufsen ลำโพง 20 ตำแหน่งและระบบปรับอากาศ 4 โซน

ทางผู้ผลิตรถยนต์พรีเมียมจากเยอรมนียังอ้างว่ารถซีดานรุ่นใหม่ของตนป้องกันเสียงดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า 30 เปอร์เซ็นต์ พร้อมให้ความสบายมากขึ้น ในขณะที่ใต้ฝาท้ายของรถมีพื้นที่เก็บสัมภาระความจุ 492 ลิตร

ระบบขับเคลื่อนของรถซึ่งเป็นเครื่องยนต์สันดาปซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน TFSI 204 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตัน–เมตร ใช้ระบบส่งกำลัง S Tronic 7 สปีดนำกำลังสู่ล้อหน้า และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 TDI 204 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน–เมตรพร้อมมีระบบไมลด์ไฮบริดที่ช่วยเพิ่มกำลังขับเคลื่อน 24 แรงม้า ช่วยเพิ่มแรงบิด 230 นิวตัน–เมตร โดยใช้ระบบส่งกำลังดูอัลคลัตช์เพื่อนำกำลังสู่ล้อหน้าหรือทุกล้อ

นอกจากสองเครื่องยนต์ 4 สูบข้างต้นแล้ว ยังมีรุ่นที่มีกำลังขับเคลื่อนมากขึ้นเป็นทางเลือก ด้วยเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร เทอร์โบ TFSI 367 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตัน–เมตร พร้อมระบบใมลด์ไฮบริดช่วยเพิ่มทั้งแรงม้าและแรงบิด โดยมีระบบขับเคลื่อนทุกล้อ Quattro เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ด้วยเวลา 4.7 วินาที และทำความเร็วได้สูงสุด 250 กม./ชม.