ในญี่ปุ่นนอกจาก Land Rover มีทางเลือกในแบบรุ่นพิเศษผลิตจำกัดทั้งสำหรับ Range Rover และ Range Rover Sport แล้ว ล่าสุดยังได้เพิ่มรุ่นพิเศษในชื่อ Eucalyptus Edition ให้กับรถคอนแพกต์เอสยูวีหรู Evoque โดยใช้ Range Rover Evoque R-Dynamic S 250 มาเป็นพื้นฐานในการทำเป็นรุ่นพิเศษ

จุดเด่นของ Range Rover Evoque Eucalyptus Edition คือถูกทำออกมาโดยใช้แนวทาง Materiality ของ Land Rover เพื่อใช้วัสดุที่มีความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม จึงทำให้รถเอสยูวีรุ่นพิเศษผลิตจำกัดนี้ใช้ Eucalyptus Melange Textile และ Ultra Fabric ซึ่งเป็น 2 วัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร่วมกันในห้องโดยสารของรถ

ทาง Land Rover ได้ให้รายละเอียดว่า Eucalyptus Melange Textile ที่ใช้ในรถเป็นวัสดุธรรมชาติที่ได้มาจากต้นยูคาลิปตัสที่ได้รับการรับรองโดย Forest Stewardship Council ซึ่งเป็นองค์กรนานาชาติ ในขณะที่ Ultra Fabric เป็นนวัตกรรมวัสดุโพลียูรีเทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยนอกจากการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว การนำเอา 2 วัสดุนี้มาใช้ร่วมกันยังเป็นการรวมความอ่อนนุ่มและเงางามพร้อมมีคุณสมบัติซึมซับความชื้นและแห้งเร็วของสิ่งทอ Eucalyptus Melange Taxtile เข้ากับ Ultra Fabric ที่มีพื้นผิวเหมือนกับหนังแท้ แต่มีคุณสมบัติระบายอากาศได้ดี และต้านเชื้อแบคทีเรีย

สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามารถเอสยูวีรุ่นพิเศษนอกเหนือวัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังมีทั้งชุดแต่ง Black Exterior Pack และล้ออัลลอย Style 5079 สีเงินลาย 5 ก้าน Y ขนาด 20 นิ้ว รวมไปถึงไฟหน้า Premium LED พร้อมไฟ Daytime Running Light และการทำงานปรับไฟสูงอัตโนมัติ รวมทั้งฝาท้ายเปิดโดยอัตโนมัติโดยใช้เท้ายื่นเข้าไปใต้กันชนหลัง ส่วนสีของรถมีให้เลือกระหว่างสีดำ Santorini Black สีขาว Fuji White และสีเทา Norita Gray โดยรถมาพร้อมหลังคาดำตัดกับสีของตัวรถยกเว้นรถสีดำ

ภายในห้องโดยสารที่เน้นการใช้สีดำ Ebony ในการแต่ง มีทั้งบาะหน้าปรับไฟฟ้า 14 ทิศทางพร้อมปรับความอุ่น ระบบเสียง Meridian และ Cold Climate Convenience Pack ถูกเพิ่มเข้ามาจากอุปกรณ์มาตรฐานในรถพื้นฐานที่ใช้ทำรุ่นพิเศษ ขณะที่เครื่องยนต์ที่มากับรถยังคงเป็นไปตามรุ่นพื้นฐาน Evoque R-Dynamic S 250 ที่เป็นเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium 4 สูบ 2.0 ลิตร 249 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตัน-เมตร

ทาง Land Rover ทำ Range Rover Evoque Eucalyptus Edition จำกัด 150 คัน สีละ 50 คัน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 7,690,000 เยนหรือประมาณ 2,190,000 บาทกับรถสีขาว Fuji White และสีดำ Santorini Black ในขณะที่รถสีเทา Norita Gray ต้องจ่ายเพิ่มอีก 900,000 เยนหรือประมาณ 256,000 บาท