Mitsubishi คว้า 5 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025

Mitsubishi คว้า 5 รางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากเวที Car of the Year 2025 ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม มาดูกันว่า มีรถรุ่นไหนได้รับรางวัลกันบ้าง เริ่มจาก
BEST HYBRID MINI MPV UNDER 1,600 c.c.
MITSUBISHI XPANDER CROSS HEV
ยังคงความโดดเด่นได้อย่างลงตัว สำหรับรถ MINI MPV Full Hybrid อย่าง MITSUBISHI XPANDER CROSS HEV ที่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย และความประหยัด ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว จนทำให้สามารถคว้ารางวัล BEST HYBRID MINI MPV UNDER 1.6L ในปี 2025 มาครองได้อย่างยอดเยี่ยม
มุมมองจากคณะกรรมการ
ขุมพลัง Full Hybrid คุ้มค่าทุกการใช้งาน MITSUBISHI XPANDER CROSS HEV มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร MIVEC ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้แรงบิด สูงสุด 255 นิวตันเมตร ทันสมัยและสะดวกสบายด้วย ELECTRIC SHIFT ควบคุมการขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ไฟฟ้า 100% ตอบสนองการสั่งการอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล โดยทางมิตซูบิชิเคลมอัตราการสิ้นเปลืองไว้ที่ 19.2 กม./ลิตร (ตามข้อมูลที่ระบุใน ECO STICKER)
เติมเต็มการขับเคลื่อนที่ลงตัวด้วยโหมดการขับขี่ Drive Mode ที่มีให้เลือกถึง 7 โหมด ได้แก่ Normal Mode เป็นโหมดที่สมดุลและเหมาะสมที่สุดสำหรับการขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน, Wet Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยช่วยป้องกันการลื่นไถล, Gravel Mode เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางลูกรัง เพิ่มเสถียรภาพการขับขี่บนพื้นผิวถนนที่ลื่นและขรุขระ, Tarmac Mode เหมาะกับการขับขี่บนถนนลาดยาง ที่ให้พละกำลังและการควบคุมการขับขี่ที่คล่องตัว, Mud Mode ทางโคลน เพิ่มการตอบสนองและการควบคุมที่ทรงพลังบนถนนดินโคลนสมบุกสมบัน, EV โหมดการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% และ EV Charge โหมดชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC)
ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างลงตัว
MITSUBISHI XPANDER CROSS HEV ได้รับการออกแบบให้มีการใช้งานที่ลงตัว ด้วยแผงแดชบอร์ดจะได้รับการติดตั้งมาตรวัดแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว และหน้าจออินโฟนเทนเมนต์ขนาด 9 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay / Android Auto พร้อมระบบเชื่อม ต่อไร้สาย Bluetooth ระบบปรับอากาศ พร้อมหน้าจอแสดงผลดิจิทัล มาพร้อมฟังก์ชันระบบปรับอากาศ Max Cool, สวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลังแบบแยกส่วน, ระบบปรับอากาศด้านหลังแยกอิสระและช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ, กุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์, ระบบเบรกมือไฟฟ้าอัตโนมัติพร้อม Brake Auto Hold และช่องเก็บของใต้พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถ นอกจากนี้ ยังมีช่องต่ออุปกรณ์ USB-A เชื่อมต่อความบันเทิงด้านหน้า และช่องต่ออุปกรณ์ USB-A และ USB-C สำหรับชาร์จไฟสำหรับผู้โดยสารแถวสอง พร้อมช่องจ่ายกระแสไฟ DC 12 โวลต์ บริเวณคอนโชลหน้าและเบาะแถวที่สาม
…และนี่คือความพิเศษที่ทำให้ MITSUBISHI XPANDER CROSS HEV เป็นรถที่ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ มีความคุ้มค่าและตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน จนทำให้คว้าอันดับหนึ่งในคลาส BEST HYBRID MINI MPV UNDER 1.6L ได้สำเร็จ
BEST 4WD PICKUP UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD
สร้างความโดดเด่นในสไตล์ปิกอัพส่วนตัวสำหรับคนยุคใหม่ได้อย่างครบถ้วน สำหรับ MITSUBISHI TRITON 4WD ATHLETE ทั้งการออกแบบภายนอกที่ดุดัน แข็งแกร่ง เอาใจขาลุย และภายในที่เติมเต็มความสะดวกสบายให้มีความลงตัวมากยิ่งขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ HYPER POWER X2 กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีล้ำสมัย ทำให้ MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการ ว่านี่คือรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่แกร่งที่สุด
มุมมองจากคณะกรรมการ
ขุมพลัง 204 แรงม้า ตอบสนองทุกอัตราเร่ง
MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD ตอบสนองทุกการขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง HYPER POWER X2 แบบ 4 สูบ แถวเรียง ขนาด 2.4 ลิตร เทอร์โบแปรผัน 2-Stage Turbocharger ให้พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,500-2,750 รอบ/นาที ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ให้มีความแข็งแรง ทนทาน จากสภาวะการใช้งานในลักษณะต่างๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในด้านของแรงบิดรอบต่ำได้ดี ทำให้เครื่องยนต์มีแรงบิดเพียงพอต่อการขับเคลื่อนตัวรถตั้งแต่รอบต่ำ ตอนออกตัว ไปจนถึงรอบสูงสุดในการเร่งความเร็วและส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด TipTronic ที่สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยตัวเอง
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ตอบโจทย์
ทุกการใช้งาน MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Super Select 4WD II ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดจากระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ 2H เป็นขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ 4H ได้ทันที แม้ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง Shift-on-the-Fly และเพิ่มกำลังขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยระบบพาสไทม์ที่แบ่งได้อีก 2 รูปแบบ คือ 4 HLC ที่ใช้งานในทางฝุ่นหรือทางขรุขระ และ 4 LLC ที่ต้องการลุยหนักหรือต้องการผ่านอุปสรรคที่ลำบากและเสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและทุกรูปแบบของพื้นผิว ด้วย 7 โหมดการขับขี่ ได้แก่โหมดปกติ (Normal), โหมดประหยัดเชื้อเพลิง (Eco), โหมดลูกรังหรือทางฝุ่น (Gravel), โหมดหิมะหรือฝนตก ผิวถนนเปียกลื่น (Snow),โหมดโคลนหรือผิวทางเหนียวลื่น (Mud), โหมดทรายหรือผิวทางดินร่วน (Sand) และโหมดหินหรือผิวทางที่เป็นหินขรุขระ (Rock)
ระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD เพิ่มความปลอดภัยในการควบคุมด้วยระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า EPS พร้อมระบบความปลอดภัยขั้นสูง Diamond Sense ประกอบด้วย ระบบล็อกความเร็วแปรผันอัตโนมัติ (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมช่วยชะลอความเร็ว (FCM), ระบบเตือนจุดอับสายตา (BSW) พร้อมเตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA), ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยจอด (RCTA), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) รวมถึงกล้องมองภาพรอบคัน (MAM) ซึ่งเทคโนโลยีความปลอดภัยทั้งหมดนี้ สามารถตรวจจับการเคลื่อนที่ของตัวรถและสภาพแวดล้อมด้วยเซ็นเซอร์และเซ็นเซอร์และเรดาร์ที่มีประสิทธิภาพสูง และเสริมด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) โดยระบบจะควบคุมการทำงานของล้อด้านในโค้งกับล้อด้านนอกโค้งให้หมุนสัมพันธ์กันเพื่อรักษาเสถียรภาพการเข้าโค้งอย่างแม่นยำเสริมความปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วย ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA), ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก(ABS), ระบบกระจายแรงดันน้ำมันเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD), ระบบเสริมแรงเบรก (BA),ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC), ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL), ระบบลิมิเต็ดสลิปที่เฟืองท้ายแบบควบคุมด้วยเบรก (Active LSD) และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
ระบบเชื่อมต่อคุณกับรถด้วย สมาร์ทโฟน
MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD เพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบเทคโนโลยี“มิตซูบิชิ คอนเนค” (MITSUBISHI CONNECT) ใช้งานง่าย สั่งการตัวรถได้จากระยะไกลโดยเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างคุณและรถยนต์สามารถรองรับได้ทั้งระบบ iOS และ Android โดยเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกการสั่งการตัวรถได้แบบไร้สายจากระยะไกล ใช้งานง่าย
ทั้งการเปิดระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารได้จากระยะไกล การล็อกและปลดล็อกประตูรถ การค้นหาตำแหน่งที่อยู่ของตัวรถการเปิดไฟส่องสว่าง และการกดแตรรถ นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบข้อมูลสถานะตัวรถ เช่น ระดับน้ำมันคงเหลือและระยะทางที่วิ่งต่อได้ ความดันลมยาง มีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นๆ อาทิ บริการช่วยเหลือบนถนน (Roadside Assistance), การแจ้งอัตโนมัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุ, การช่วยเหลือเมื่อรถถูกโจรกรรม (Stolen Vehicle Assistance) และอุ่นใจตลอดเส้นทางด้วยระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS ผ่านตัวรถ (e-call) ซึ่งทั้งหมดนี้คือความสุดยอดของ MITSUBISHI TRITON ATHLETE 4WD ที่เหล่าคณะกรรมการต่างลงความเห็นว่า นี่คือ BEST 4WD PICKUP UNDER 2,500 c.c. ใน Thailand Car of The Year 2025
BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 2,500 c.c.
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่าและลงตัวในการใช้งานทุกด้าน ทั้งขุมพลังเครื่องยนต์ VG Turbo อินเตอร์คูลเลอร์ ขนาด 2.4 ลิตร 184 แรงม้าด้วยการออกแบบที่โดดเด่น โฉบเฉี่ยว พร้อมบุคลิกของรถระดับพรีเมียม ที่ยังคงความแกร่งและสมบูรณ์แบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ จนทำให้คณะกรรมการผู้ให้คะแนน Car of The Year 2025 ต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือรถ PPV ที่คุ้มค่ามากที่สุดในยุคนี้”
มุมมองจากคณะกรรมการ
เครื่องยนต์ Hyper Power พร้อมลุย ทุกสภาพถนน MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION มาพร้อมขุมกำลังใหม่ ขุมพลังใหม่ รหัส 4N16 Hyper Power เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรล เจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยมาตรฐาน
ไอเสียระดับ Euro 5 สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่แบบ 6 สปีด ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่พาลุยได้ทุกที่
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION
บุกตะลุยได้ทุกที่ด้วยระบบขับเคลื่อน Super Select 4WD II ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งสามารถปรับเข้าสู่โหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ 4H ได้ทันที แม้ในขณะขับขี่ด้วยความเร็วแบบ Shift-on-the-Fly และยังพร้อมลุยด้วยโหมด 4HLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตราทดความเร็วสูง และ 4LLc ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตราทดความเร็วต่ำ และยังมาพร้อมโหมดออฟโรด 4 ลักษณะ ที่ช่วยให้ตัวรถขับเคลื่อนผ่านสภาพเส้นทางต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ได้แก่ Gravel เหมาะสำหรับถนนลูกรังที่มีกรวดและดิน, Mud/Snow เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นโคลนหรือหิมะหนา, Sand เหมาะสำหรับบริเวณที่เป็นทรายละเอียด, Rock เหมาะสำหรับถนนที่พื้นผิวขรุขระ เช่น มีหินมากหรือล้อลอยจากพื้น รวมทั้งระบบล็อกเฟืองท้ายที่ส่งกำลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน Diamond Sense
MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบล็อกความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control: ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation System: FCM), ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (Ultrasonic Misacceleration Mitigation System: UMS), กล้องมองภาพรอบคัน (Multi Around Monitor: MAM), ระบบเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (Rear Cross Traffic Alert: RCTA), ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา พร้อมสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Blind Spot Warning with Lane Change Assist: BSW with LCA), ระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ (Auto Headlight Leveling System: AHLS) และระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยางผิดปกติ (Tire Pressure Monitoring System: TPMS)
นอกจากนี้ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION ยังมาพร้อมระบบ Mitsubishi Remote Control ที่มอบการควบคุมผ่านสมาร์ทโฟนระบบ iOS และ Android มีฟังก์ชันที่เป็นประโยชน์ ในการใช้งาน ได้แก่ การค้นหารถยนต์, การแจ้งเตือนสถานะของรถ, สั่งการเปิด-ปิด ประตูท้ายอัตโนมัติได้ล่วงหน้า และระบบช่วยเหลือพร้อมแจ้งเหตุผ่านสัญญาณ Bluetooth ของสมาร์ทโฟน พร้อมแสดงข้อมูลและประวัติการใช้งานรถ
ชึ่งทั้งหมดนี้ คือจุดเด่นที่ทำให้ MITSUBISHI PAJERO SPORT ELITE EDITION ได้รับการคัดเลือกให้เป็น BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 2,500 c.c. ประจำปี 2025 จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
THE MOST VALUABLE ECO SEDAN
MITSUBISHI ATTRAGE
นับเป็นอีกหนึ่งรถยนต์ ECO CAR ที่มี ความคุ้มค่าและลงตัวมากที่สุด สำหรับ MITSUBISHI ATTRAGE ที่โดดเด่น ในด้านความประหยัด สามารถทำตัวเลขได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร ด้วยบล็อกเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ซึ่งพ่วงเทคโนโลยีความประหยัดด้วยระบบเกียร์ CVT อัจฉริยะ INVECS-III ที่ช่วยจำพฤติกรรมการขับให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด จนทำให้ คณะกรรมการต่างลงความเห็นว่า นี่คือ… THE MOST VALUABLE ECO SEDAN
เครื่อง 1.2 ลิตร ขุมพลังแห่งความประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
MITSUBISHI ATTRAGE มาพร้อมกับขุมพลัง ความประหยัดในรูปแบบเครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (Mitsubishi Innovative Value Timing Electronic Control System) ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งดีเยี่ยม ให้การเผาไหม้หมดจด ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 100 กรัมต่อกิโลเมตรโดยพละกำลังเครื่องยนต์ทั้งหมด ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ CVT (Continuously Variable Transmission) WITH INC (Idle Neutral Control) & G-Sensor ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยให้ทุกการเปลี่ยนเกียร์เป็นไปอย่างต่อเนื่องและนุ่มนวล
ทำงานควบคู่กับระบบ INC ที่ช่วยควบคุมและตัดระบบส่งกำลังไปยังเพลาขับอัตโนมัติในขณะรถหยุดนิ่ง และเหยียบเบรกในตำแหน่งเกียร์ “D” ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันในทุกการขับขี่ และลดการสึกหรอของระบบเกียร์ ช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์ให้ยาวนานขึ้น พร้อมด้วยระบบ INVECS-III (Intelligent and Innovative Vehicle Electronic Control System III) ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ ซึ่งช่วยวิเคราะห์ และจดจำลักษณะการขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
เทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ
สำหรับ MITSUBISHI ATTRAGE มาพร้อมระบบความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วในช่วงความเร็วต่ำ FCM-LS (Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range), ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ด้านหน้า RMS-FORWARD (Rader Sensing Misacceleration Mitigation System-Forward) นอกจากนี้ MITSUBISHI ATTRAGE ยังมาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ที่ครบครัน อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ Welcome Light System เมื่อปลดล็อกรถไฟนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์, ระบบ ESS ไฟกะพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน (Emergency Stop Signal System) สัญญาณไฟกะพริบทำงานต่อเนื่องจนกว่าจะปล่อยเบรก หรือรถยนต์หยุดสนิท เพื่อเป็นการแจ้งเตือนรถยนต์คันหลัง พร้อมด้วยระบบเบรก ABS-EBD และ BA, ระบบควบคุมการทรงตัวและลื่นไถล ASC-Active Stability Control, ระบบ HSA ช่วยออกตัวบนถนนลาดชัน
จากความโดดเด่นที่เหนือชั้น ทำให้ MITSUBISHI ATTRAGE ได้รับการโหวตจากคณะกรรมการว่ามีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งในคลาสเดียวกันจนทำให้สามารถคว้ารางวัล THE MOST VALUABLE ECO SEDAN มาครองได้สำเร็จ
BEST FUEL ECONOMY ECO CAR
MITSUBISHI MIRAGE
ในปี 2025 รถอีโคคาร์ MITSUBISHI MIRAGE ยังเป็นรถที่มีความคุ้มค่ามากที่สุด ทั้งในด้านราคาการใช้งาน รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้นกว่ากลุ่มรถในเซ็กเมนต์เดียวกัน ด้วยความโดดเด่นที่ครอบคลุมในทุกๆ ด้าน จนทำให้คว้ารางวัล BEST FUEL ECONOMY ECO CAR มาครองได้อย่างต่อเนื่อง…ซึ่งความพิเศษจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน
มุมมองจากคณะกรรมการ
การออกแบบเน้นความคุ้มค่า ลงตัวทุกการใช้งาน
MITSUBISHI MIRAGE มาพร้อมความประหยัด ซึ่งสามารถทำตัวเลขได้สูงสุด 23.3 กม./ลิตร ด้วยขุมพลังความประหยัด ขับเคลื่อนด้วย
เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร แบบ 3 สูบ DOHC MIVEC 12 Valve ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตันเมตร ที่
4,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC (Mitsubishi Innovative Timing Electronic Control System) ช่วยให้เครื่องยนต์ มีแรงบิดดีขึ้นในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์มีอัตราเร่งดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน ลดมลพิษ รักษาสิ่งแวดล้อม รองรับทั้งเบนซิน 91 และ 95, แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20 โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสียต่ำสุดอยู่ที่ 100 กรัมต่อกิโลเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ
CVT ควบคุมการทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่วยควบคุมการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ให้มีความแม่นยำมากขึ้น INVECS II (Intelligent
and Innovative Vehicle Electronic Control System) ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์อัจฉริยะ INVECS II ช่วยวิเคราะห์และจดจำลักษณะ
การขับขี่ เพื่อนำไปประมวลผลการเปลี่ยนเกียร์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล
ภายในห้องโดยสารของ MITSUBISHI MIRAGE มาพร้อมการยกระดับใหม่ ทั้งจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ High Contrast ตกแต่งด้วยลายคาร์บอน เบาะนั่งวัสดุหนังสังเคราะห์ดีไซน์ใหม่และเหนือระดับไปอีกขั้น ด้วยแผงควบคุมเปิด-ปิด กระจกข้างตกแต่งด้วยลายคาร์บอนพร้อมวัสดุบุนุ่มบริเวณแผงประตูสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอระบบสัมผัส Smartphone-Link Display Audio (SDA) ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay, Android Auto และระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และการเชื่อมต่อบลูทูธ ครบครันและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายเทียบเท่ารถซีดานระดับบน ได้แก่ ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย (Cruise Control), ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบกุญแจอัจฉริยะ KOS พร้อมปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ และกล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด
นอกจากนี้ MITSUBISHI MIRAGE ยังมีรัศมีวงเลี้ยวที่แคบสุดเพียง 4.4 เมตร คล่องตัวในการขับขี่ ง่ายต่อการเลี้ยว กลับรถ หรือถอยจอด
ในพื้นที่จำกัด และด้วยตัวรถที่มีน้ำหนักเบาจึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกอีกทางหนึ่งนอกจากนี้ พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถยังมีความจุ
มากถึง 450 ลิตร ทำให้สะดวกต่อการเก็บของหรือใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ในเมืองได้เป็นอย่างดี
ECO HatchBack / 5 ประตู ที่มีระบบความปลอดภัยมากที่สุด
MITSUBISHI MIRAGE มาพร้อมกับระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เหนือชั้น อาทิ FCM-LS ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ), RMS-FORWARD ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็วด้านหน้า เพื่อตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ขับขี่เบรกรถได้ทัน ช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการชนพ่วงด้วยระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ อาทิ ระบบ ASC (Active Stability Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวในสภาวะที่รถเสียสมดุล เพื่อช่วยควบคุมกรณีที่เกิดการลื่นไถลออกนอกเส้นทาง เช่น กรณีหลุดโค้ง เมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ถนนลื่น หรือหักหลบกะทันหัน,
ระบบ TCL (Traction Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล ระบบจะช่วยควบคุมการหมุนของล้ออย่างสมดุลในสภาวะถนนลื่น เพื่อไม่ให้รถสูญเสียการยึดเกาะถนน, ระบบ HSA (Hill Start Assist) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ช่วยป้องกันรถไหล เมื่อต้องออกตัวบนทางลาดชัน, ระบบเบรก ABS (Antilock Braking System) ช่วยป้องกันล้อล็อก พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake-force Distribution) จะทำงานประสานกับระบบเบรก ABS เพื่อการกระจายแรงเบรกอย่างเหมาะสมทั้ง 4 ล้อ ช่วยให้การหยุดรถสั้นลง ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า และเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติแบบคู่ด้านคนขับ ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกจากการชนจากด้านหน้า รวมทั้งลดอาการบาดเจ็บที่หน้าอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ