MG คว้า 4 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025

MG คว้า 4 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025 ฉลองความสำเร็จส่งท้ายปี คว้ารางวัลอันทรงเกียรติจากเวที Car of the Year 2025 รถรุ่นไหนบ้างที่ได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดแห่งปี ตามมาดูกันเลย
BEST HYBRID HATCHBACK UNDER 1,500 c.c.
MG3 Hybrid+
“MG (Morris Garage) เป็นแบรนด์ยนตรกรรมสัญชาติอังกฤษ ถือกำเนิด ณ ประเทศอังกฤษ มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1924 เพราะฉะนั้น ในปี ค.ศ. 2024 ที่ผ่านมา นั่นหมายถึง “MG” ได้เฉลิมฉลองครบรอบความเป็นตำนานระดับ 100 ปี เป็นที่เรียบร้อย แม้ระหว่างทางในราวปี ค.ศ. 2007 จะมีการเปลี่ยนผ่านสัญชาติจาก “เมืองผู้ดี” มาสู่ “ดินแดนหลังม่านไม้ไผ่” และถูกพัฒนาไปตามยุคสมัย ภายใต้การดูแลของ SAIC Motor กลุ่มธุรกิจรถยนต์ขนาดใหญ่ในจีน จนมาถึงปัจจุบัน
แต่ “ความสปอร์ต” ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการถือกำเนิดแบรนด์ MG ก็ยังคงได้รับการนำเสนอผ่านยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เทียบชั้นยนตรกรรมแบรนด์ยุโรป จนส่งให้หลายรุ่นของ MG กลายเป็น Global Model ที่มีการยอมรับไปทั่วโลกและ MG3 Hybrid+ คือ Global Model รุ่นที่ 2 ต่อจาก New MG4 ELECTRIC ที่โกยกระแสตอบรับจากทั่วโลก หลังเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Geneva International Motor Show 2024 ก่อนส่งตรงสู่เมืองไทย ตอกย้ำสถานะ Hybrid Hatchback พิกัดB-Segment ที่ลงตัว ทั้งดีไซน์ สมรรถนะ และเทคโนโลยี ซึ่งตอบโจทย์ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ควบคู่ไปกับการสร้างมาตรฐานยนตรกรรม Green Mobility หนึ่งในปัจจัยที่ทั่วโลกให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม
นอกจากงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์แล้ว “สมรรถนะ” คือ ส่วนที่เป็นไฮไลต์สำคัญ จากเทคโนโลยี Hybrid+ ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 102 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า จากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Cell-To-Pack ความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน คือ 1.83 kWh ผลลัพธ์ คือ MG3 Hybrid+ มีกำลังรวม 2 ระบบสูงสุดอยู่ที่ 194 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า Hybrid Transmission แบบ E-AT 3 สปีด มาพร้อม 3 โหมดการขับขี่ให้เลือก คือ Eco, Normal และ Sport ผสานเข้ากับ 4 รูปแบบการขับเคลื่อน ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้
โดยอัตโนมัติ เพื่อมอบอัตราการประหยัดเชื้อเพลิง ควบคู่ไปกับการตอบสนองด้วยสมรรถนะสูงสุด การันตีด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8 วินาที, จาก 80-120 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5 วินาที ทั้งยังประหยัดน้ำมันได้เหนือคาด จากตัวเลข 26.2 กม./ลิตร หรือน้ำมัน 1 ถัง สามารถวิ่งได้ไกลกว่า 800 กม.เลยทีเดียว
นอกจากนี้ MG3 Hybrid+ ยังนำเสนอความเป็นยนตรกรรม “ขับสนุก” ที่สุดในคลาส ด้วยองค์ประกอบการปรับเซตที่ลงตัว ทั้งในส่วนของระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS) ซึ่งมีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 5.2 เมตร และระบบช่วงล่างด้านหน้า แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชัน บีม จับคู่กับล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 195/55 R16 ประกบดิสก์เบรกหน้า-หลัง หนึ่งในตัวช่วยสำคัญจากระบบความปลอดภัยมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System
จากองค์ประกอบด้าน “สมรรถนะ” ทั้งหมดของ MG3 Hybrid+ ผ่านการปรับแต่ง และทดสอบในหลากหลายเส้นทาง โดยวิศวกรชั้นนำทั้งในยุโรปและเอเชีย เพื่อสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และรองรับการใช้งานผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้อย่างครอบคลุมที่สุดซึ่งไม่เพียงผ่านการยอมรับจากสื่อมวลชนทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากงาน Thailand Car of The Year 2025 ที่พิจารณาองค์ประกอบทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “ราคา” ที่ “คุ้มค่า” จนได้ผลสรุปให้ MG3 Hybrid+ เหมาะสมที่สุดกับรางวัล BEST HYBRID HATCHBACK UNDER 1,500 c.c.
BEST CKD HATCHBACK EV (RWD)
MG4 ELECTRIC
MG4 ELECTRIC คือ Global Model อันดับแรกจาก MG ในสไตล์แฮตช์แบ็กขับเคลื่อนล้อหลัง พลังไฟฟ้า 100% เจ้าของคอนเซปต์ “ICON” นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของยนตรกรรม EV ขับสนุก พลิกโฉมวงการยานยนต์ไฟฟ้าในฐานะ “The First Rear Wheel Drive EV” อย่างสวยงาม
ด้วยการตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ EV ผ่านจุดเด่นสำคัญ เช่น โครงสร้าง “เนบิวลา” (Nebula Pure Electric Platform) ซึ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นมาเป็น “รถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยเฉพาะ ที่มีระบบขับเคลื่อนล้อหลัง” (Dynamic Rear Wheel Drive) และจุดศูนย์ถ่วงต่ำ (Low Centre of Gravity) ด้วยการกระจายน้ำหนักแบบสมมาตรที่ 50:50 มอบประสบการณ์การขับขี่ “สนุก และเร้าใจ” ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ที่สามารถวิ่งทำระยะทางได้ไกลถึง 425 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) เสริมทัพด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้า อิสระ แมคเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลัง อิสระ แบบ 5-Link ที่นอกจากลดแรงสั่นสะเทือนได้ดีแล้ว ยังยึดเกาะถนนได้ยอดเยี่ยม จับคู่กับระบบพวงมาลัยแบบ Dual Pinion ควบคุมด้วยไฟฟ้า (DP-EPS) ที่ตอบสนองได้อย่างคล่องตัว จากรัศมีวงเลี้ยวเพียง 5.3 เมตร ผสานด้วยระยะ Overhang ทั้งด้านหน้า และด้านหลังที่สั้นกระชับ
ในเรื่องของความสะดวกสบาย แน่นอนว่า ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i–SMART ยังคงเป็นพระเอกหลักในการยกระดับคุณค่า และประสบการณ์การขับขี่ยนตรกรรมจากแบรนด์ MG เช่นเดียวกับความปลอดภัยระดับ Global Safety ซึ่งมีทั้งโปรแกรม Semi-Autonomous Driving System และระบบ Advanced Synchronized
Protection System เป็นผู้ดูแลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
และทั้งหมดที่กล่าวมา นี่คือ MG4 ELECTRIC เวอร์ชัน CKD ผลิตในเมืองไทยซึ่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติและศักยภาพเทียบเท่าเวอร์ชันนำเข้า (CBU) ที่ผ่านการยอมรับมาแล้วจากทั่วโลก ฉะนั้น เมื่อรวมเข้ากับผลการทดสอบจากคณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2025 ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า MG4 ELECTRIC คือยนตรกรรมที่เหมาะสมกับการรับรางวัล BEST CKD HATCHBACK EV (RWD) ไปอีกครั้งในปีนี้
BEST ROADSTER EV
MG CYBERSTER
จากงานแสดงรถแห่งปี Goodwood Festival of Speed 2023 สู่ Chengdu Auto Show 2023 กับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในทวีปเอเชียของ MG Cyberster จนกลายเป็นกระแสความสนใจจากทั่วโลกในชั่วข้ามคืน รวมถึงในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยที่รอคอยการมาอย่างใจจดใจจ่อ
MG Cyberster คือโรดสเตอร์ไฟฟ้า(Electric Roadster) เปิดประทุน 2 ที่นั่ง นำเสนอความสปอร์ตชัดเจน เช่นเดียวกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของแบรนด์ MG จากการสร้างสรรค์ขึ้นโดย Marco Feinello อดีตวิศวกรผู้ควบคุมการปรับแต่งรถให้กับทีม Ferrari F1 และหัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ DANISI Engineering ทำหน้าที่ปรับแต่ง และเสริมสมรรถนะเพื่อปลดปล่อยศักยภาพอันแท้จริง
มีจุดเด่นอยู่ที่ประตูปีกนก พร้อมปุ่มเปิด-ปิด แบบสัมผัส จับคู่กับหลังคาผ้าใบแบบ soft top บนเรือนร่างขนาดกระชับ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยเส้นสายพลิ้วไหว แต่แฝงไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง เพื่อสื่อถึงพละกำลัง 544 แรงม้า พร้อมแรงบิด 725 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ Permanent Magnet Synchronous Motor แบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.2 วินาทีเท่านั้น
ภายใต้เรือนร่างความสปอร์ต คือ Nebula Pure Electric Platform โครงสร้างที่ออกแบบมาเพื่อรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมกับติดตั้งช่วงล่างด้านหน้าดับเบิ้ลวิชโบน และด้านหลังมัลติลิงก์ ซึ่งทาง MG ได้ร่วมงานกับทีมผู้เชี่ยวชาญในการปรับแต่ง เพื่อทำให้ Cyberster สนองตอบการควบคุมได้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ขับขี่ ก่อนจะเปิดโปรแกรมท้าพิสูจน์เต็มรูปแบบ ผ่านตำนานบทใหม่ กับภารกิจ Charging into the Future พิชิตเส้นทางข้าม 3 ทวีป 23 ประเทศ กว่า 10,000 ไมล์ หรือกว่า 16,000 กิโลเมตร” จากทวีปยุโรป ข้ามสู่ซีกโลกตะวันออกกลาง ก่อนมุ่งหน้าสู่ทวีปเอเชีย ปลายทาง มหานครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน จุดหมายที่จะแสดงให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพเหนือระดับของ Cyberster ที่ถูกยกย่องให้เป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างไอเดียแห่งอนาคตอย่างแท้จริง
ซึ่งด้วยศักยภาพที่ผ่านการพิสูจน์ในระดับโลกมาแล้ว ทำให้คณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2025 ทำงานง่ายขึ้น เพื่อจะตัดสินว่ารางวัล BEST ROADSTER EV คือ รางวัลที่ไม่มียนตรกรรมใดเหมาะสม มากไปกว่า MG Cyberster อีกแล้ว ณ เวลานี้
BEST MID-SIZE MPV EV
MG MAXUS 7
การเข้ามาทำตลาดของตระกูล MAXUS ทั้ง MAXUS 9 และ MAXUS 7 โดยแบรนด์ MG หลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่อง “ซับซ้อน” อะไร … แต่จริงๆ แล้ว สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์จากแบรนด์ MG ซึ่งมองเห็นความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้น การส่งทั้ง MAXUS 9 และ MAXUS 7 เข้ามาขยายฐานลูกค้า จึงเป็น “เหตุผลที่ลงตัว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มตลาดรถ EV เมืองไทย
MG MAXUS 7 คือทายาทลำดับ 2 ต่อจาก MAXUS 9 ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ถูกวางตำแหน่งให้เป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดกลาง พลังงานไฟฟ้า 100% (Mid-size e-MPV) สำหรับตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครอบครัวยุคใหม่ได้อย่างครบครันที่สุด ตั้งแต่ ดีไซน์ที่โดดเด่นทันสมัย แฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์
มาพร้อมห้องโดยสารภายในแบบ Smart Luxury ที่ครบครันทุกฟังก์ชัน เพื่อตอบโจทย์ทุกกิจกรรมครอบครัว และรองรับทุกการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบลงตัว
รวมไปถึงสมรรถนะอันทรงประสิทธิภาพจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุดถึง 245 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะทางสูงสุด 570 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC ทั้งด้วยสถานะของยนตรกรรมเพื่อการตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มครอบครัวเป็นหลัก ทำให้เทคโนโลยีความปลอดภัย คือสิ่งที่ MG MAXUS 7 ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
ด้วยการติดตั้งระบบความปลอดภัยมาให้อย่างครบครันตามมาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System พร้อมด้วยระบบ Semi-Autonomous Driving Assistance System รวมถึง 25 ระบบ ภายใต้การรับรองมาตรฐาน 5 ดาว จากทั้ง Euro NCAP และ ANCAP เพราะฉะนั้น เมื่อประกอบกับการเป็นทายาทลำดับที่ 2 รองจาก MAXUS 9 เจ้าของรางวัล BEST EV MPV จากงาน Thailand Car of The Year 2024 ด้วยแล้วละก็ จึงไม่น่าแปลกใจที่ MG MAXUS 7 ซึ่งรักษามาตรฐานความยอดเยี่ยมตามแบบฉบับรุ่นพี่อย่างครบถ้วน จะได้รับรางวัล BEST MID-SIZE MPV EV ไปได้อย่างสมศักดิ์ศรีเลยทีเดียว