ด้วยการหนึ่งในลักษณะของรถยนต์จาก Audi ที่ได้รับความนิยมคือตัวถังสเตชันแวกอนหรือที่ทางผู้ผลิตรถยนต์จากเยอรมนีรายนี้ใช้ชื่อต่อท้ายว่า Avant จึงทำให้เมื่อเข้าสู่ยุคของรถไฟฟ้าทาง Audi ย่อมไม่พลาดที่จะนำเอาจุดแข็งในส่วนนี้ของตนมาใช้ โดยการเผยโฉม A6 Avant e-Tron ออกมาให้ดู พร้อมกับยืนยันว่าไม่ได้ทำออกมาโชว์เท่านั้นแต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงรถที่จะมาในอนาคต

รถคอนเซ็ปต์ Audi A6 Avant e-Tron ที่ถูกเผยโฉมออกมาเป็นเหมือนเวอร์ชันสเตชันแวกอนของรถคอนเซ็ปต์ A6 e-Tron Sportback ซึ่งอยู่บนแพลตฟอร์ม Premium Platform Electric หรือ PPE ที่พัฒนาร่วมกับ Porsche ที่เคยถูกแสดงในงานเซียงไฮ้ออโตโชว์ 2021 อย่างไรก็ตามแม้จะถูกปรับเป็นตัวถังแวกอนแต่ A6 Avant e-Tron ก็ยังมีขนาดภายนอกของรถที่ไม่แตกต่างจากรถคอนเซ็ปต์ซีดานที่มีความยาว 4.96 เมตร กว้าง 1.96 เมตร และสูง 1.44 เมตร

ในด้านการออกแบบรถคอนเซ็ปต์แวกอนไฟฟ้ามีด้านหน้าของรถที่มีความคล้าย A6 e-Tron Sportback รวมทั้งมีไฟหน้า LED แบบเดียวกัน แต่ถูกออกแบบให้มีความแตกต่างในส่วนของกันชนหน้าที่ถูกเพิ่มความดุดันเข้าไปโดยที่ยังคงเส้นสายที่เป็นเอกลักษณ์ของ e-Tron เอาไว้อย่างชัดเจน ขณะที่ด้านข้างใช้ล้อขนาด 22 นิ้วเต็มซุ้มล้อขนาดใหญ่ของรถ และใช้กล้องสำหรับแสดงภาพในห้องโดยสารแทนกระจกมองข้างแบบเดิม

แน่นอนว่าส่วนสำคัญในการออกแบบ A6 Avant e-Tron อยู่ที่ด้านหลังของรถในสไตล์แวกอน ซึ่งแม้จะยังคงมีไฟท้ายในลักษณะแถบยาวเหมือนกับ A6 e-Tron Sportback แต่ก็ออกแบบให้มีเหลี่ยมสันที่ฝาท้ายในลักษณะสปอยเลอร์อีกชิ้นด้านหลังรถ ซึ่งทาง Audi ระบุว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมแอโรไดนามิกของรถนอกเหนือจากสปอยเลอร์ที่ติดปลายหลังคากระจกของรถ ส่วนที่กันชนหลังมาพร้อมกับ Diffuser ขนาดใหญ่ที่เพิ่มความสปอร์ตดุดันให้กับรถ

ด้านการขับเคลื่อนของรถทาง Audi เปิดเผยเพียงแค่ว่าเมื่อเป็นรถในสายการผลิตจริง กับรุ่นพื้นฐานจะใช้เวลาไม่ถึง 7 วินาทีเพื่อทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ขณะที่รุ่นสมรรถนะสูงใช้เวลาน้อยกว่า 4 วินาทีเพื่อทำความเร็วในระดับเดียวกัน ในขณะที่แบตเตอรีที่มาพร้อมกับรถจะใช้เทคโนโลยี 800-Volt สามารถชาร์จไฟได้ 270 kW และให้ระยะการเดินทางถึง 700 กิโลเมตรต่อการชาร์จ

แม้ทาง Audi จะระบุว่ารถคอนเซ็ปต์ A6 Avant e-Tron เป็นรถที่ใกล้เคียงกับการเป็นรถก่อนขึ้นสายการผลิต แต่บรรดาแฟนรถแวกอนของค่าย 4 ห่วงคงต้องรอไปก่อน เพราะทางผู้ผลิตรถยนต์หรูจากเยอรมนีรายนี้ยืนยันว่าจะมีการผลิตจริงในปี 2024