เปิดตำนาน Mercedes-Benz E-Class: หัวใจแห่งความสำเร็จของค่ายตราดาว

หัวใจแห่งความสำเร็จของ Mercedes-Benz ที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ไม่ได้มาจากสปอร์ตโร้ดสเตอร์ราคาแพง, ซีดานหรูขนาดใหญ่ หรือธุรกิจรถบรรทุก แต่ต้องยกเครดิตให้รถซีดานขนาดกลาง E-Class ที่เป็นเสมือนตัวแทนเอกลักษณ์ของรถยนต์ระดับลักชัวรี่ ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และเป็นผู้กำหนดเทรนด์การออกแบบที่เป็นเบื้องหลังของความสำเร็จนับจากจุดเริ่มต้นในศตวรรษที่ 20 จนถึงเจเนอเรชั่นล่าสุดโมเดล W214 ในปี 2023 ที่เปิดเส้นทางสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีควบคุมการขับขี่ที่ทันสมัย
จุดเริ่มต้นของ E-Class ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่รถ Mercedes-Simplex 28/32 hp ภายใต้ชื่อ Daimler-Motoren-Gesellschaft (DMG) ที่ออกมาในปี 1904 และโมเดล 24/40 hp ของ Benz & Cie. ในปี 1906 ก่อนที่ทั้ง 2 บริษัทจะควบรวมกิจการมาอยู่ภายใต้ชื่อ Daimler-Benz AG (ปัจจุบัน – Mercedes-Benz Group AG) ในปี 1926 ทำให้มีการปรับโครงสร้างรุ่นรถยนต์ที่ผลิตออกขาย
รถยนต์นั่ง (Passenger Car) รุ่นแรกภายใต้แบรนด์ Mercedes-Benz มีชื่อว่าโมเดล 8/38 hp (W02) ปี 1926 ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักในชื่อ Mercedes-Benz 8/38 hp Stuttgart 200 ในปี 1928 เช่นเดียวกับโมเดล 10/50 hp Stuttgart 260 (W11) ที่ออกมาในปีเดียวกันถูกนับรวมเป็นต้นกำเนิดของ E-Class ก่อนที่จะมีอีกหลายรุ่นถูกพัฒนาออกมาในทศวรรษ 1930 ไม่ว่าจะเป็น Types 200 (1933), 230 (1936) และ 260 D (W138, 1936) ที่กลายเป็นรถยนต์นั่งรุ่นแรกของโลกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้การผลิตรถยนต์ต้องยุติลงชั่วคราวหลังจากเหตุการณ์กลับสู่ปกติ โรงงาน Mercedes-Benz เริ่มต้นการผลิตรถยนต์อีกครั้งในปี 1947 ด้วยการนำโมเดล 170 V ที่เคยเปิดตัวเมื่อปี 1936 เพื่อใช้สำหรับงานกู้ภัย, รถตำรวจ และติดต่อธุรกิจขนส่งสินค้า ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นรถยนต์สไตล์ซาลูน (Saloon) นับเป็นรถยนต์นั่งรุ่นแรกของ Mercedes-Benz หลังยุคสงคราม
จากนั้นความนิยมรถยนต์ของ Mercedes เพิ่มสูงขึ้นจากโมเดล 180 (รหัสตัวถัง W120) ในปี 1953 หรือที่หลายคนเรียกว่า Ponton ที่มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านกลไกหลายจุด ก่อนจะตามมาด้วยรุ่น W110 หรือที่รู้จักในชื่อ Fintail หรือทรงหางปลา ในปี 1961 โดยใช้เครื่องยนต์แบบสี่สูบ และอีก 7 ปีต่อมาเกิดก้าวสำคัญในการพัฒนาในรุ่น Stroke 8 ที่ใช้รหัสตัวถัง W115 และ W114 เป็นช่วงเวลาเดียวกับการเปิดตัวรถยนต์คูเป้ (Coupe) รุ่นแรกของพวกเขาที่ทำให้มีรถยนต์หลากหลายรูปแบบมากขึ้น
ความสำเร็จดำเนินไปต่อเนื่องด้วยการเปิดรุ่นใหม่ W123 ที่มีการผลิตรุ่นเอสเตท (Estate) เป็นอีกทางเลือก พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ของรถยนต์แนวนี้เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบครอบครัว ก่อนจะพัฒนาสู่ตัวถัง W124 ที่มีช่วงเวลาการผลิตระหว่างปี 1984-1995 ที่เพิ่มรุ่นคาบริโอเล่ต์ 4 ที่นั่ง (Cabriolet) และในช่วงปลายเจเนอเรชั่นในปี 1993 Mercedes ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น E-Class อย่างเป็นทางการ โดยกำหนดตำแหน่งให้เป็นรถยนต์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความหรูหราสูงสุด (S-Class) กับรถยนต์คอมแพ็กคาร์ (C-Class)
ความเปลี่ยนแปลงทั้งคาแร็กเตอร์การออกแบบ และติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกลายเป็นสัญลักษณ์ของ Mercedes-Benz E-Class รวมทั้งเป็นรถยนต์รุ่นเดียวของแบรนด์ดาวสามแฉกที่มีตัวถังให้เลือกทั้งซาลูน, เอสเตท, คูเป้, คาบริโอเล่ต์ หรือรุ่นพิเศษขยายฐานล้อ จนทำให้เป็นรถยนต์ที่ครอบคลุมทุกการใช้งานอย่างแท้จริง
The Highlights of the E-Class
1902-1945: สู่ต้นกำเนิด E-Class
- Mercedes-Simplex 28 hp ที่ถูกผลิตในปี 1902 มีอุปกรณ์สำคัญคือหม้อน้ำแบบรังผึ้งขนาดใหญ่
- นับตั้งแต่ปี 1906 โรงงานผลิตตัวถังของ Mercedes เริ่มพัฒนารถยนต์ที่มีตัวถังขนาดใหญ่เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง
- ในปี 1922 Mercedes 6/25 hp และ 10/40 hp กลายเป็นรถยนต์นั่งทั่วไปที่ใช้เครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ
- ในปี1933 มีการเริ่มใช้เบรกไฮดรอลิก และระบบช่วงล่างอิสระทำงานร่วมกับแกนล้อแบบ Swing Axle ใน Mercedes-Benz 200
- ในปี 1936 Mercedes-Benz 260 D เป็นรถยนต์นั่งรุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล
- มีการติดตั้งโครงสร้างแบบ Torsionally Stiff X-shaped เป็นครั้งแรกใน Mercedes-Benz 170 V ที่ผลิตในปี 1936
1947-1955: จุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์แห่งการสร้างธุรกิจ
Mercedes-Benz 170 V–170 DS (รหัสตัวถัง W136/W191)
ในเดือนกรกฎาคม 1947 โรงงานผลิตรถยนต์นั่งของ Mercedes-Benz กลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง เพื่อผลิตรถยนต์โมเดล 170 V (W136) ที่เคยผลิตในช่วงก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 โดยมียอดขายราว 73,000 คัน นับเป็นสถิติสูงสุดของพวกเขาในช่วงก่อนปี 1945 ก่อนจะกลายเป็นโมเดลสำคัญในการต่อยอดสู่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 170 D, รุ่นซาลูน 170 S เพื่อเจาะกลุ่มคนรวย และประสิทธิภาพเครื่องยนต์ดีเซลที่ยอดเยี่ยมทำให้มีการออกรุ่น 170 DS ที่ใช้รหัสตัวถัง W 191
ด้วยรูปทรงตัวถังที่พิเศษ ความสบายในการโดยสาร และคุณภาพที่น่าประทับใจทำให้รถยนต์รุ่นนี้ของ Mercedes ได้รับคำชื่นชมจนถึงทุกวันนี้ และถูกยกให้เป็นหนึ่งในจุดแข็งของรถยนต์ตระกูล E-Class อีกด้วย
1953-1962: ก้าวสู่ยุคยานยนต์ยุคใหม่
Mercedes-Benz 180 D–190 “Ponton” (รหัสตัวถัง W120/W 121)
การมาถึงของ Mercedes-Benz 180 ในเดือนสิงหาคม 1953 เป็นเหมือนการเริ่มต้นยุคใหม่ จากความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโครงสร้างตัวถังใหม่แบบ Self-Supporting แทนที่ระบบเพลาขับ และตัวถังแบบเก่า รถยนต์ที่หลายคนรู้จักในชื่อ Ponton มีการออกแบบที่ทันสมัย ทำให้มีค่าแรงต้านทานลมที่ต่ำ และประหยัดน้ำมัน จนกลายเป็นสัญลักษณ์ในการนำเสนอนวัตกรรมของ Mercedes ในช่วงเวลานั้น
ตลอดระยะเวลาการผลิตร่วม 10 ปี มีการออกรุ่นย่อยออกมาทั้ง 180 D, Mercedes 190 ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ 1.9 ลิตร และ 190D ทำให้เจ้า Poton กลายเป็นโมเดลเครื่องยนต์สี่สูบที่มีคนซื้อใช้งานมากถึง 443,000 คัน
1961-1968: มุมมองที่แตกต่าง
Mercedes-Benz 190 D–230 “Fintail” (รหัสตัวถัง W110)
เปิดตัวระหว่างปลายของรหัสตัวถัง W 120/W 121 ในปี 1961 มีความสะดุดตาผู้คนจากการมีหางปลา (Fintail) ที่ด้านท้ายของรถ และกลายเป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของรุ่นนี้ ทีมงาน Mercedes แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นในการนำเสนอความสะดวกสบายของห้องโดยสารพร้อมสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมคุ้มค่ากับเงินที่ลูกค้าต้องจ่าย รวมทั้งมีอัตราประหยัดน้ำมันที่ดี
ความล้ำสมัยของ Fintail ในยุคนั้นคือการเป็นรถยนต์ที่พร้อมให้ลูกค้าเพิ่มออปชั่นความหรูหราในการใช้งาน ทั้งการติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ, พวงมาลัยพาวเวอร์, ระบบกระจกไฟฟ้า, หลังคาเหล็กเลื่อนเปิด-ปิด และระบบทำความเย็น
ในเจเนอเรชั่นนี้เป็นการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้วยการออกแบบพื้นที่ยุบตัวของห้องโดยสารบริเวณด้านหน้า และด้านหลัง โดย Bela Barenyi วิศวกรชาวฮังการี ที่ได้รับการยกย่องเป็นผู้ให้กำเนิดระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องเมื่อเกิดเหตุ (Passive Safety) ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในเวลาต่อมา
1968-1976: การปฏิวัติยอดขายสู่หลัก 1 ล้านคัน
Mercedes-Benz 200 D–280 E “Stroke 8” (รหัสตัวถัง W115/W114)
ด้วยยอดขายที่สูงกว่า 1.8 ล้านคัน ทำให้รถยนต์ซาลูนที่ถูกเปิดตัวในช่วงต้นปี 1968 กลายเป็นรถยนต์ Mercedes-Benz รุ่นแรกที่ผ่านหลัก 1 ล้านคัน รวมทั้งเป็นรุ่นแรกที่ใช้เครื่องยนต์แบบสี่สูบในโมเดลรหัส 200, 220, 200 D และ 220 D (รหัสตัวถัง W115) รวมทั้งเครื่องยนต์หกสูบในรุ่น 230 และ 250 (รหัสตัวถัง W 114)
จากนั้นในปี 1974 เป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเปิดตัวเครื่องยนต์ดีเซลห้าสูบในรถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายภายใต้ชื่อรุ่น 240D และในรุ่นนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการผลิตตัวถังคูเป้ ที่มีกระแสตอบรับที่สูงจนกลายเป็นแนวทางใหม่ของ Mercedes ในการพัฒนารถยนต์แบบสองที่นั่งในเวลาต่อมา
ในส่วนของอุปกรณ์การใช้งานเสริมมีการให้ลูกค้าเลือกติดตั้งระบบเซ็นทรัลล็อก, เกียร์ธรรมดา 5 สปีด (เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์หกสูบ (ปี 1969), ล้ออัลลอย (รุ่น 280/280 E ปี 1972) และเบาะนั่งพร้อมเครื่องทำความร้อน
1976-1985: รถยนต์ในฝันของผู้คนทั่วโลก
Mercedes-Benz 200 D – 280 E (รหัสตัวถัง W123)
เป็นรถยนต์ที่มีการใช้ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double-wishbone, แกนพวงมาลัยที่ถูกออกแบบเพื่อความปลอดภัยโดย Bela Barenyi และมีการวางตำแหน่งถังน้ำมันบนเพลาล้อหลังเพื่อลดอันตรายในกรณีเกิดอุบัติเหตุ รวมทั้งสามารถเลือกออปชั่นติดตั้งระบบ Cruise Control, ระบบเบรก ABS (ปี 1980) และถุงลมนิรภัยสำหรับคนขับ (ปี 1982)
ทั้งเทคโนโลยี และรูปทรงที่ดูทันสมัยในยุคนั้น ทำให้มียอดสั่งจองล้นทะลักทำให้ลูกค้าของพวกเขาต้องรอนานถึง 1 ปี ในช่วงแรกที่เปิดตัว จากการมีโมเดลให้เลือกหลากหลายรุ่นทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล
ในเดือนกันยายน 1977 มีการเปิดตัวรุ่น 5 ประตูหรือเอสเตท เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของรถยนต์แนวนี้เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบครอบครัวในชื่อรุ่น T-model เพื่อสื่อความหมายถึงการท่องเที่ยว และการเดินทาง ก่อนที่จะกลายเป็นรถยนต์นั่งรุ่นแรกของเยอมนีที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบในปี 1980 รวมทั้งเป็นรุ่นที่ถูกนำมาทดลองใช้พลังงานทางเลือกทั้งไฮโดรเจน, มอเตอร์ไฟฟ้า และแก๊สแอลพีจี
1984-1997: การถือกำเนิดของ E-Class อย่างเป็นทางการ
Mercedes-Benz 200 D–E 60 AMG (รหัสตัวถัง W124)
การใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดน้ำหนักโครงสร้างรถ และพัฒนาระบบแอร์โรไดนามิกจนทำให้รถรุ่นนี้มีสมรรถนะที่สูง และลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน รวมทั้งการนำเสนอระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC เป็นครั้งแรก
ในปี 1986 Mercedes ยังแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้นำด้วยการที่รถเครื่องยนต์เบนซินทุกคันของบริษัทจะติดตั้งระบบควบคุมไอเสียเพื่อให้ปล่อยมลพิษออกมาน้อยที่สุด
ในเจเนอเรชั่นนี้นอกจากรุ่นซาลูน, เอสเตท และคูเป้ มีการเพิ่มรุ่นคาบริโอเล่ต์ และรุ่นขยายฐานล้อ (Long-wheelbase) เป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้า และในเดือนมิถุนายน 1993 ในการเปิดตัวรุ่นปรับโฉมรถยนต์รุ่นนี้ถูกเรียกชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า E-Class ที่มาจากคำว่า Einspritzmotor ในภาษาเยอรมันที่หมายถึงเครื่องยนต์ระบบหัวฉีด
1995-2002: ไฟหน้าคู่ที่เป็นเอกลักษณ์
Mercedes-Benz E 200 Diesel – E 55 AMG (รหัสตัวถัง W210)
ในปี 1995 รถยนต์รุ่นที่ 2 ภายใต้ชื่อ E-Class เปิดตัวพร้อมการปรับโฉมครั้งใหญ่ด้วยการใช้ไฟหน้า 4 ดวง พร้อมกับคว้ารางวัลด้านการดีไซน์จาก Red Dot โดยเป็นครั้งแรกที่แบ่งออกเป็น 3 ระดับในชื่อ Classic, Elegance และ Avantgarde
เทคโนโลยีทันสมัยที่ถูกติดตั้งในรถรุ่นนี้มีระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Electronic Traction System – ETS) ที่กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในเวลาต่อมา ก่อนที่ในปี 1999 E-Class ทุกโมเดลจะมีการติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program – ESP) เพิ่มเข้ามา
นอกเหนือจากนี้มีการเพิ่มออปชั่นเสริมทั้งเซ็นเซอร์ที่ปัดน้ำฝน, ไฟหน้าแบบซีนอน, ระบบช่วยจอด Parktronic, ระบบนำทาง APS Navigation, ระบบควบคุม Command Control และเบาะนั่งแบบปรับอุณหภูมิ
2002-2009: ความคลาสสิกแห่งยุคสมัยใหม่
Mercedes-Benz E 200 CDI–E 63 AMG (รหัสตัวถัง W211)
นอกเหนือจากเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ E-Class เป็นผู้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในรถยนต์ระดับพรีเมียมมาตลอดหลายปี ด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่สำหรับคนขับ และผู้โดยสารด้านหน้า, เข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด และไฟหน้าซีนอนพร้อมระบบ Active Light ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานในรุ่นตัวถัง W 211
ในปี 2004 เพื่อรองรับพลังงานทางเลือกมีการเปิดตัวรุ่น E 200 NGT ที่สามารถขับเคลื่อนด้วยก๊าซธรรมชาติสลับกับน้ำมันปกติ และ 2 ปีถัดมามีการเปิดตัวรุ่น E 320 BlueTEC ที่ใช้เทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลล่าสุดของ Mercedes
นอกจากนี้มีการนำ E 320 CDI รุ่นมาตรฐาน 3 คัน ทดสอบวิ่งที่สนามแข่งรถยนต์ในเมืองลาเรโด้ ประเทศสหรัฐฯ โดยทำสถิติวิ่งต่อเนื่องเป็นระยะทาง 160,934 กิโลเมตร ด้วยความเร็วเฉลี่ย 224.82 กม./ชม. และในปี 2008 ยังได้รับรางวัลระดับโกลด์จาก J.D. Power บริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำของโลก ในฐานะรถยนต์ที่มีคุณภาพสูงสุดในเซกเม้นต์
2009-2016: ความโดดเด่นที่ทุกคนต้องหยุดมอง
Mercedes-Benz E 200 CDI–E 63 S AMG (รหัสตัวถัง W212)
ดีไซน์ที่โดดเด่น, ระบบช่วยเหลือการขับขี่ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่ารุ่นก่อน 23 เปอร์เซ็นต์ ถูกยกให้เป็นความโดดเด่นของ E-Class เจเนอเรชั่นนี้ ที่มีให้เลือกทั้งรุ่นซาลูน (W212), เอสเตท (S212), คูเป้ (C207) และคาบริโอเล่ต์ (A207) ถูกเลือกให้เป็นโมเดลที่สืบทอดความสำเร็จของ CLK
การพัฒนาที่สำคัญคือการทำให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ในรุ่นคูเป้ ลดลงเหลือ 0.24 ทำให้เป็นรถยนต์ที่ผลิตเพื่อขายที่มีระบบแอร์โรไดนามิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตอนนั้น
นอกจากนี้มีการเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนเป็นพิเศษด้วยการเปิดตัว E-Class Long-wheelbase ที่เพิ่มพื้นที่ช่วงขาสำหรับผู้โดยสารเบาะหลังได้มากถึง 14 เซนติเมตรในช่วงการปรับโฉมปี 2013 มีการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญด้วยการใช้เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม และระบบควบคุม Intelligent Drive ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ รวมทั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ล้ำสมัย
2016-2023: รถสำหรับนักธุรกิจ และครอบครัวที่ล้ำสมัยที่สุด
Mercedes-Benz E 220 d–E 43 4MATIC (รหัสตัวถัง W213)
E-Class เจเนอเรชั่นที่ 5 เปิดตัวเมื่อปี 2016 ทำให้ Mercedes-Benz เข้าใกล้สู่ยุคใหม่ของการเดินทางในอนาคต โดยโมเดล W213 เพิ่มระบบระบบตรวจจับเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุในระดับ Semi-autonomous Driving ด้วยการติดตั้งระบบควบคุมระยะห่างอัตโนมัติ Active Distance Assist Distronic โดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมการขับบนทุกสภาพถนนได้จนถึงความเร็วสูงสุด 210 กม./ชม., ระบบช่วยควบคุมการเปลี่ยนเลน Active Lane Change Assist และระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกหลายรูปแบบเพื่อทำให้ความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด
อีกไฮไลต์สำคัญของ E-Class เจเนอเรชั่นนี้คือการเป็นรถยนต์คันแรกของโลกที่ติดตั้งระบบสื่อสาร Car-to-X แบบเต็มรูป ทำให้สามารถสื่อสารกับยานพาหนะอื่น และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแจ้งข้อมูลการจราจรผ่านระบบ Cloud รวมทั้งเทคโนโลยีการสื่อสารระยะใกล้ (NFC) สามารถใช้สมาร์ตโฟนแทนกุญแจ , การเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนทั้งระบบปฏิบัติการณ์ Apple CarPlay และ Android Auto โดยอีกความสะดวกสบายที่เพิ่มเข้ามาคือระบบนำจอด Remote Parking Pilot สั่งงานผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ตโฟนเพื่อให้นำรถเข้าจอดหรือถอยออกจากโรงจอดรถ
ความพิเศษอื่นๆ จะมีระบบไฟหน้าความละเอียดสูง Multibeam ด้วยการใช้หลอดไฟ LED กำลังสูงแยกการควบคุมแบบอัตโนมัติ 84 ดวงในแต่ละข้าง ทำให้สามารถกระจายแสงได้แม่นยำ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ติดตั้งเป็นมาตรฐานเช่นเดียวกับระบบควบคุมช่วงล่าง Agility Control และ Dynamic Body Control พร้อมทั้งระบบช่วงล่างถุงลม Air Body ที่จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์การขับขี่
หลังจากเปิดตัวรุ่นซาลูน Mercedes เริ่มแนะนำตัวถังรูปแบบอื่นของ E-Class เจเนอเรชั่นนี้สู่ลูกค้าทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเอสเตท (S213) ในเดือนกันยายน 2016, คูเป้ (C238) ในเดือนมีนาคม 2017 และรุ่นเปิดประทุนคาบริโอเล่ต์ (A238) ในเดือนมิถุนายน 2017 โดยรหัส W213 จะมีขุมกำลังให้เลือกทั้งหมด 6 ระดับ (แบ่งเป็น 2 เครื่องยนต์เบนซิน, 2 เครื่องยนต์ดีเซล และ 1 เครื่องยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด) มีกำลังตั้งแต่ 184-33 แรงม้า แต่หากเป็นรุ่นสมรรถนะสูง AMG จะมีกำลังตั้งแต่ 401-612 แรงม้า
จากนั้นในปี 2020 Mercedes มีการปรับโฉม E-Class ภายใต้สโลแกน “Intelligence is getting exciting” โดยมีการอัปเกรดทั้งการออกแบบ, เครื่องยนต์ และเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของกลุ่มรถยนต์ซาลูนระดับลักชัวรี่เอาไว้ต่อไป
2023-ปัจจุบัน: สัญลักษณ์แห่งรถยนต์สไตล์ซาลูน
Mercedes-Benz E-Class (รหัสตัวถัง W214)
Mercedes-Benz E-Class รหัสตัวถัง W214 นับเป็นเจเนอเรชันล่าสุดเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2023 และเริ่มต้นขายอย่างเป็นทางการในปลายปีเดียวกัน โดยมีตัวถังให้เลือกทั้งซาลูน, รุ่นฐานล้อยาว (Long-wheel Base V214), เอสเตต (S214) และรุ่น All-Terrain (X214) มีการถประกอบในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
โครงสร้างของ E-Class W214 ใช้แพลตฟอร์ม Modular Rear Architecture (MRA2) เช่นเดียวกับ S-Class และรถกลุ่มเอสยูวี ทำให้สามารถติดตั้งระบบช่วงล่าง และระบบขับเคลื่อนขั้นสูงได้อย่างยืดหยุ่น ระบบพวงมาลัยล้อหลังช่วยให้รถเลี้ยวได้แคบลงแม้ตัวถังยาวขึ้น โดยมิติตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd) ที่ 0.23 เท่าเดิม
Mercedes-Benz E-Class เจเนอเรชันที่ 6 บทใหม่ของรถซาลูนหรูขนาดกลาง
ในด้านเครื่องยนต์ Mercedes-Benz นำเสนอทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลแบบ Mild-hybrid ที่ใช้ระบบไฟฟ้า 48 โวลต์ รวมถึงเวอร์ชันปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ที่สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้เกินกว่า 100 กิโลเมตร ทั้งหมดจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic และสามารถเลือกได้ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลังหรือขับเคลื่อนสี่ล้อ 4MATIC
รูปลักษณ์ภายนอกของ E-Class W214 ได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนจากรถยนต์ไฟฟ้า Mercedes EQ โดยเฉพาะไฟหน้า และกระจังหน้าที่ออกแบบให้เชื่อมต่อกันอย่างโฉบเฉี่ยว มือจับประตูเป็นแบบเรียบเนียนแนบไปกับตัวถัง และไฟท้ายตกแต่งด้วยลวดลายรูปดาวสามแฉกตามสัญลักษณ์ของแบรนด์
ภายในห้องโดยสารโดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย โดยรุ่นท็อปสามารถเลือกจอแสดงผลแบบ MBUX Superscreen ที่รวมจอคนขับ จอกลาง และจอฝั่งผู้โดยสารไว้ในดีไซน์เดียวอย่างลงตัว พร้อมกล้องเซลฟี่ และแอปพลิเคชันความบันเทิงอย่าง TikTok, Zoom และเบราว์เซอร์ Vivaldi ระบบไฟภายในสามารถเปลี่ยนสีได้ถึง 64 สี ช่วยสร้างบรรยากาศที่หรูหรา และผ่อนคลาย ด้านพื้นที่ใช้สอยมีความสะดวกสบายมากขึ้นในรุ่นซาลูนความจุด้านท้ายประมาณ 540 ลิตร ขณะที่รุ่นเอสเตทสามารถขยายพื้นที่เก็บสัมภาระได้ถึง 1,675 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลง
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่าง ๆ ถูกติดตั้งมาอย่างครบถ้วน ทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบช่วยจอด และระบบตรวจจับอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ ซึ่งล้วนแต่เสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบายในการใช้งาน
ทั้งหมดนี้ทำให้ E-Class W214 เป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างความหรูหรา ความล้ำสมัย และประสิทธิภาพ เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้บริหาร ครอบครัว และผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยียุคใหม่อย่างแท้จริง
สำหรับประเทศไทย New E-Class เปิดตัวครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2024 โดยนำเสนอความเป็นเลิศของรถยนต์ Business Saloon สุดหรูที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเดิมในทุกองศา ขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ รวมถึงการติดตั้งเทคโนโลยี และฟังก์ชันอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยปัจจุบันจะมีไลน์อัปแบ่งเป็น
- E 220 d AMG Line: 3,930,000 บาท
- E220 d AMG Line (Launch Edition): 3,990,000 บาท
- E 300 e AMG Dynamic: 4,020,000 บาท
- E350 e Exclusive: 3,650,000 บาท
- E 350 e AMG Dynamic: 4,080,000 บาท
- E 350 e AMG Dynamic (Launch Edition): 4,250,000 บาท
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: media.mercedes-benz.com
เรียบเรียงข้อมูลโดย GRANDPRIX ONLINE
ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th