Toyota คว้า 9 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025

ตอกย้ำความเป็นผู้นำ! Toyota กวาดรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of the Year 2025 ไปถึง 9 สาขา สร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ มาดูกันว่าขุนพลรถยนต์จาก Toyota รุ่นใดบ้างที่ครองใจกรรมการและคว้าตำแหน่งสุดยอดในแต่ละประเภท…
Best Sedan Under 1,300 c.c.
TOYOTA YARIS ATIV Nightshade
TOYOTA YARIS ATIV Nightshade เจ้าของรางวัล Best Sedan Under 1,300 c.c. จากงาน Thailand Car of The Year 2025 คือสิ่งแสดงออกถึงความยอดเยี่ยมอย่างชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นรุ่นพิเศษ Special Edition ที่ได้รับการตกแต่งใหม่ให้ Premium & Sporty ยิ่งขึ้น เช่น สีใหม่ภายนอกสไตล์ทูโทน จาก 2 ทางเลือกประกอบด้วย “สีเทาพร้อมหลังคาดำ” (Cement Gray with Black Roof) และ “สีขาวพร้อมหลังคาดำ” (Platinum White Pearl with Black Roof) ลงตัวกับการเพิ่มเติมรายละเอียดความสปอร์ตในส่วนของ กระจกมองข้างสีดำเงาพร้อมไฟเลี้ยว, สปอย์เลอร์หลังสีดำเงา รับกับล้ออัลลอยปัดเงา สีโครมดำ ต้องบอกว่า “ลงตัว” กับสไตล์ของห้องโดยสาร ที่ตกแต่งด้วยเบาะนั่งหนังแท้ ผสมผสานด้วยหนังสังเคราะห์สีดำ และการเดินด้ายสีเทา
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะ TOYOTA YARIS ATIV Nightshade ยังมากับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย เช่น หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto, ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, กล้องมองรอบคัน ตลอดจนเทคโนโลยี T-Connect ที่สามารถดูแลผู้ขับขี่ได้ทุกที่ทุกเวลา เช่นเดียวกับอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน และเทคโนโลยี Toyota Safety Sense ที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้านขุมพลัง TOYOTA YARIS ATIV Nightshade ยังคงขับเคลื่อนด้วยพื้นฐานเดียวกับ TOYOTA YARIS ATIV คือ เครื่องยนต์ Dual VVT-iE ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Sequential Shift ซึ่งมากับสวิตช์ปรับโหมดการขับขี่ที่เลือกได้ถึง 3 รูปแบบ Eco, Normal และ Sport ที่นอกจากตอบโจทย์การขับขี่แล้ว ยังสามารถทำอัตราการประหยัดสูงสุดได้มากถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker) เลยทีเดียว
ซึ่งด้วยคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้คณะกรรมการ Thailand Car of The Year 2025 ตัดสินใจมอบรางวัล Best Sedan Under 1,300 c.c. ให้กับ TOYOTA YARIS ATIV Nightshade อย่างแน่นอน หากไร้ซึ่งหัวข้อสุดท้าย นั่นคือ “ความคุ้มค่า” ที่เกิดขึ้นจากราคาจำหน่ายเพียง 699,000 บาทเท่านั้น
Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c.
TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR Sport
TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR Sport ยนตรกรรมที่เรียกได้ว่าเป็น Top of the Line ของอนุกรม ALTIS ที่มาพร้อมความไม่ธรรมดา เมื่อมีนามสกุล GR Sport ต่อท้าย ด้วยงานดีไซน์ภายนอกและภายใน ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ Toyota Gazoo Racing ผสมผสานเข้ากับ “ความคุ้มค่าและโดดเด่น” ของตัวย่อ “QDR” ซึ่งประกอบด้วย “Quality” คุณภาพ, “Durability” ความทนทาน และ “Reliability” ความน่าเชื่อถือ
ซึ่งความเร้าใจด้านงานดีไซน์ในฐานะ GR Sport ประกอบด้วย กระจังหน้า, สปอยเลอร์หลังสีดำเงา, ล้ออัลลอยสีดำ ขนาด 17 นิ้ว,
ไฟท้าย Full LED แบบ Clear Lens รับกับภายในตกแต่งพิเศษ เช่น เบาะนั่งคู่หน้าสปอร์ต หุ้มหนัง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR ซึ่งลงตัวกับเข็มขัดนิรภัยสีแดงสไตล์ GR Sport และรายละเอียดภายในเดินด้ายสีแดง พร้อมการตกแต่งด้วยโทนสีแดงและสีเงิน Smoked Silver รวมถึงความสะดุดตาจากดีไซน์ของพวงมาลัย พร้อมตราสัญลักษณ์ GR เช่นเดียวกับปุ่ม Push Start และ Smart Key เหนืออื่นใด คือสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น เริ่มจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างยานยนต์ใหม่ TNGA ผสมผสานเข้ากับความเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฮบริด จากการทำงานที่สมบูรณ์แบบของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า สร้างพละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า จากทั้ง 2 ระบบ ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ที่รองรับด้วยโครงสร้าง TNGA ที่มีจุดเด่น คือ ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระ Double Wishbone ที่สุดของการออกแบบเพื่อการทรงตัว
ไม่เพียงเท่านั้น เพราะ TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR Sport ยังได้เพิ่มศักยภาพการขับขี่ให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น จากการปรับแต่งพิเศษเฉพาะรุ่นย่อย GR Sport เท่านั้น เช่น Electric Power Steering พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า, Shock Absorber ที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดียิ่งขึ้น ลงตัวกับ Coil Spring ที่ปรับแต่งโดยเฉพาะ เพื่อการขับขี่ที่มั่นคง และนุ่มนวล เสริมด้วย Rear Stabilizer Bar เหล็กกันโคลงหลัง ซึ่งจะลดอาการโคลงขณะเข้าโค้ง เพื่อสร้างการยึดเกาะถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลลัพธ์นั้น ไม่เพียง “สมรรถนะการขับขี่” ที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมากับขีดความสามารถที่เหมาะสมกับยุคสมัยด้วยเช่นกัน นั่นคือ อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ยอดเยี่ยมด้วยตัวเลข 23.8 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker) และหากพิจารณา “ราคา” เข้าไปเป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญ รางวัล Best Hybrid Sedan Under 1,800 c.c. จาก Thailand Car of The Year จึงตกเป็นของ TOYOTA COROLLA ALTIS HEV GR Sport ด้วยความ “เหมาะสมที่สุด” อย่างไม่ต้องสงสัย
Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c.
TOYOTA CAMRY Premium Luxury
“ALL-NEW CAMRY” ภายใต้คอนเซปต์ “Progress Beyond Perfection – ก้าวสู่อีกระดับของความสมบูรณ์แบบ” คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดโดยแท้จริง จากแนวคิด “Sedan to the Core” เน้นการต่อยอดในจุดแข็งต่างๆ เริ่มจากงานดีไซน์ภายนอกและภายใน ภายใต้แนวคิด Energetic Beauty ที่นำเสนอความเป็นผู้นำผ่านรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน และใส่ใจ แสดงออกถึงความหรูหราที่เรียบง่าย และทันสมัย ทั้งยังได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ อย่างครบครัน เพื่อการอำนวยความสะดวกสบายสูงสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รุ่น Premium Luxury ด้วยไฮไลต์ เช่น แผงควบคุมฟังก์ชันต่างๆ แบบระบบสัมผัส, ระบบ Auto Slide-Away Function ที่จะช่วยเลื่อนเบาะผู้ขับ และปรับตำแหน่งพวงมาลัยอัตโนมัติ เพื่อทำให้เข้า-ออก จากรถได้ง่ายขึ้น มาพร้อมเบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกอิสระ 3 Zone, Wireless Charger, Wireless Apple CarPlay, หลังคา Panoramic พร้อมม่านไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง, ม่านหน้าต่าง และม่านไฟฟ้าที่กระจกหลัง ตลอดจนยังมีฟังก์ชันอื่นๆ มากมายที่จะช่วยสร้างความสุขทุกการเดินทางควบคู่ไปกับความมั่นใจ จากเทคโนโลยีความปลอดภัยล่าสุด Toyota Safety Sense เจเนอเรชันใหม่ ซึ่งพัฒนาขีดความสามารถขึ้นอีกระดับ ด้วยกล้องมองรอบคันที่มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น
เสริมด้วยระบบช่วยเตือนการเปิดประตู Safe Exit Assist, ระบบช่วยเตือนขณะจอดรถ พร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ PKSB ทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมายสมรรถนะ เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่ทำให้ รางวัล Best Hybrid Mid-size Sedan Under 2,500 c.c. ตกเป็นของ TOYOTA CAMRY Premium Luxury ด้วยเครื่องยนต์ และระบบขับเคลื่อน Hybrid เจเนอเรชันใหม่ ประกอบด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 186 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 221 นิวตันเมตร ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 208 นิวตันเมตร สร้างพละกำลังสูงสุด 227 แรงม้าส่งกำลังโดยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก 4 รูปแบบ EV, Eco, Normal และ Sport รองรับด้วยสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่
Toyota New Global Architecture ที่แข็งแรง พร้อมช่วงล่างอิสระ ปีกนกคู่ Double Wishbone Suspension เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว
และเกาะถนน ด้วยจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้ TOYOTA CAMRY Premium Luxury เป็นยนตรกรรม Mid-size Hybrid Sedan ที่นอกจากขับสนุกแบบหาตัวจับยากแล้ว เหนืออื่นใด ยังมากับความสามารถในการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมอีกด้วย กับตัวเลข 25 กิโลเมตรต่อลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker โดยทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 ในห้องปฏิบัติการ)
Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c.
TOYOTA YARIS CROSS
TOYOTA YARIS CROSS คืออีกหนึ่งผลงานที่ตอกย้ำความเหนือชั้นด้านเทคโนโลยี Hybrid ผสานเข้ากับรูปแบบการใช้งานสไตล์ภายใต้คอนเซปต์ “Urban x Adventure” เน้นการขับขี่ในเมืองที่สนุกสนาน ปราดเปรียว เสริมทัพด้วยความสะดวกสบายยิ่งขึ้น จากฟังก์ชันอำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับ Top Class
Toyota Yaris Cross…“Move to the Max
มูฟชีวิตไปให้สุดๆ” มากับความสะดุดตา จากการออกแบบภายนอกในแนวคิด “Solid x Dynamic” เน้นภาพลักษณ์ความแข็งแรง ทรงพลัง ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ รับกับภายในแบบ “Roomy x Sporty” ที่กว้างขวาง ผสานความสปอร์ตด้วยการออกแบบที่นั่งผู้ขับขี่ให้มีดีไซน์แบบ “Driver-Oriented Cockpit” ตลอดจนความพรีเมียมในการตกแต่ง และอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
การตอบโจทย์ของ TOYOTA YARIS CROSS ไม่ได้มีเพียงความอเนกประสงค์ในการใช้งานเท่านั้น แต่สมรรถนะการขับขี่ก็ยังไม่เป็นสองรองใคร ด้วยเทคโนโลยี Hybrid บนพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว แบบ Dual VVT-i ให้เรี่ยวแรงสูงสุด 91 แรงม้า พร้อมแรงบิด 121 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิดสูงสุด 141 นิวตันเมตร โดยมีเกียร์อัตโนมัติ e-CVT รับหน้าที่ถ่ายทอดกำลังทั้งหมด 111 แรงม้า ลงสู่พื้นถนน ซึ่งไม่เพียงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อย CO2 เท่านั้น แต่ยังทำอัตราการประหยัดเชื้อเพลิงได้น่าประทับใจที่สุดในคลาส กับตัวเลข 26.3 กม./ลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker) อีกด้วย
“ความปลอดภัย” คืออีกหนึ่งหัวข้อสำคัญ เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยพื้นฐานแล้ว ยังถูกเสริมด้วยตัวช่วยล้ำสมัยอีกคับคั่ง เช่น กล้องบันทึกภาพด้านหน้า-หลัง, ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว, ระบบป้องกันการเหยียบคันเร่งผิดวิธี, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM & RCTA ตลอดจนความพิเศษที่ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน อย่าง กล้องมองภาพรอบคัน Panoramic View Monitor, ระบบตรวจวัดลมยางอัตโนมัติ รวมถึง Toyota Safety Sense ที่สุดของเทคโนโลยีความปลอดภัยอีกด้วย
ท้ายสุดกับ “ราคา” ที่ “คาดไม่ถึง” เมื่อเทียบกับรายละเอียดเบื้องต้นที่กล่าวมา ซึ่งนั่นทำให้ TOYOTA YARIS CROSS เป็นยนตรกรรมยอดเยี่ยมที่สุด จนคว้ารางวัล Best Hybrid SUV Under 1,500 c.c. ในปีนี้ไปครองอย่างสมศักดิ์ศรี
Best 2WD Pickup Under 2,800 c.c.
TOYOTA HILUX REVO B-Cab 4×2 2.8 Entry MT
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในตลาดรถปิกอัพเมืองไทย “B-Cab, Standard Cab หรือหัวเดี่ยว” คือ อีกหนึ่งไลน์อัป ที่ต้องบอกว่ามี “ยอดจำหน่าย” ไม่ธรรมดา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่มองหาความแข็งแกร่ง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มธุรกิจ
แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า หลายๆ ค่ายให้ความสำคัญกับไลน์อัปนี้น้อยเกินไป ซึ่งนั่นไม่ใช่ “โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย” ที่เล็งเห็น “โอกาส” ให้ TOYOTA HILUX REVO B-Cab ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในใจผู้ประกอบการ ด้วยการนำเสนอความทรงพลัง ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร ให้รุ่นย่อย ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์ธรรมดา ซึ่งขุมพลังดีเซล 2.8 ลิตร ดังกล่าว คือเครื่องยนต์รหัส 1GD-FTV (High) เจเนอเรชันที่ 2 แบบ 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว ที่พัฒนาให้มีพละกำลังสูงถึง 204 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 420 นิวตันเมตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (500 นิวตันเมตร ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ)
รองรับด้วยระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่งแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลงในด้านหน้า จับคู่กับด้านหลังแบบแหนบซ้อน ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับการบรรทุกหนัก บนพื้นที่กระบะได้อย่าง “คุ้มค่า” ซึ่งมีมิติ TOYOTA HILUX REVO B-Cab นั้น มากับความอเนกประสงค์ ที่ประกอบด้วยความยาว 2,315 มม. ความกว้าง 1,575 มม. และความสูง 480 มม.นอกจากขีดความสามารถในการบรรทุกหนักที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันแล้ว TOYOTA HILUX REVO B-Cab 4×2 2.8 Entry MT ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ครบครัน สร้างความมั่นใจได้ตลอดการใช้งานอีกด้วย
ทั้งจากระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน ต่อเนื่องไปถึงความพิเศษ เช่น ระบบการควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นตัวช่วยสำคัญที่เหมาะสมกับภาคส่วนธุรกิจที่ต้องการใช้งานหนัก แต่ยังคงไว้ซึ่งสะดวกสบายในการขับขี่ และความปลอดภัยอีกด้วยเช่นกัน
และด้วยเหตุผลนั้น TOYOTA HILUX REVO B-Cab 4×2 2.8 Entry MT จึงเป็นยนตรกรรมที่เหมาะสมกับรางวัล Best 2WD Pickup Under 2,800 c.c. อย่างแท้จริง
Best 4WD Pickup Under 2,800 c.c.
TOYOTA HILUX REVO D-Cab 4×4 2.8 GR-S AT WT
รางวัล Best 4WD Pickup Under 2,800 c.c. ในปีนี้ ตกเป็นของ TOYOTA HILUX REVO D-Cab 4×4 2.8 GR-S AT WT อย่างปฏิเสธไม่ได้ ด้วย “ที่สุด” แห่งพัฒนาการ ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งระดับโลก รายการ WRC (World Rally Championship) ภายใต้แนวคิดของ Toyota Gazoo Racing “จากสนามแข่ง สู่ท้องถนน” นำเสนอความสปอร์ตทางกายภาพ ผ่านชุดแต่งพิเศษรอบคัน เพื่อเสริมประสิทธิภาพตามหลักอากาศพลศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับความดุดันล่าสุดจากชุดกระจังหน้าใหม่ ลงตัวกับดีไซน์ฐานล้อแบบ Wide Tread และยาง All-Terrain สำหรับลุยทุกสภาพถนน
ขณะที่ภายในห้องโดยสาร อัปเกรดความสปอร์ตขึ้นไปอีกระดับเช่นกัน ด้วยแผงคอนโซลหน้าลายไฮโดรกราฟ มาพร้อมการติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 10.25 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย โดยจะจับคู่มากับหน้าจอแสดงผล TFT พร้อมสัญลักษณ์ GR อันโดดเด่น เช่นเดียวกับเบาะหนัง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายสีเทา พร้อมสัญลักษณ์ GR ซึ่งลงตัวกับทั้งพวงมาลัยดีไซน์สปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ GR และสายเข็มขัดนิรภัยสีแดง ที่จะมีเฉพาะรุ่น GR-S เท่านั้น
“สมรรถนะ” คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจจากคณะกรรมการมากที่สุด เพราะมีการปรับจูนเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส GD เจเนอเรชันที่ 2 ขึ้นใหม่ ทำให้กำลังสูงสุดขยับขึ้นไปที่ 224 แรงม้า เช่นเดียวกับแรงบิดที่ 550 นิวตันเมตร ตอบรับทุกการขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift พร้อมระบบขับเคลื่อนที่ปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ทั้งแบบ 2 ล้อ ความเร็วสูง (2H), แบบ 4 ล้อ ความเร็วสูง (4H) และแบบ 4 ล้อ ความเร็วต่ำ (4L) เสริมความมั่นใจด้วย Differential Lock ที่เฟืองท้าย
เสริมด้วยความแข็งแกร่งจากช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง จับคู่กับด้านหลังแบบแหนบซ้อน พร้อมการอัปเกรดให้เหนือกว่าสำหรับรุ่น GR-S ด้วย “โช้คอัพ” ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) รวมไปถึงระบบเบรก ที่นอกจากให้ดิสก์เบรกทั้งด้านหน้าและด้านหลังแล้ว ยังบ่งบอกความ “สุด” ด้วยชุดคาลิเปอร์ พร้อมสัญลักษณ์ GR อันโดดเด่น เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่และควบคุม ให้ทั้งสนุกสนาน และสร้างความมั่นใจได้ดีทุกสถานการณ์
Best PPV Diesel 4WD Under 2,800 c.c.
TOYOTA FORTUNER 2.8 GR-S AT
หาก TOYOTA HILUX REVO D-Cab 4×4 2.8 GR-S AT WT ครองรางวัล Best 4WD Pickup Under 2,800 c.c. ด้วยความ “เหมาะสม” แบบที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ…ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้า TOYOTA FORTUNER 2.8 GR-S AT พื้นฐานเดียวกัน จะเป็น PPV เพียงหนึ่งเดียวที่ “เหมาะสม” กับรางวัล Best PPV Diesel 4WD Under 2,800 c.c.
ดีไซน์ภายนอกของ FORTUNER 2.8 GR-S แสดงจุดยืนความเป็น Sport Premium PPV อย่างเด่นชัด ผ่านการปรับโฉมตามแบบฉบับรถแข่งระดับโลก Toyota Gazoo Racing เช่น กระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ GR, กันชนหน้า พร้อมชุดตกแต่งสีดำเงา, ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีพิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport และสปอยเลอร์หลังใหม่ ดีไซน์สปอร์ต เช่นกัน
สำหรับดีไซน์ภายใน เป็นการควบรวมของ “ความสปอร์ต” และ “ความหรูหรา” อย่างลงตัว ตั้งแต่รายละเอียดการตกแต่ง ซึ่งเลือกใช้วัสดุโครเมียม, แถบสี Smoke Silver และการเดินด้ายตกแต่งสีแดง หรือสี Smoke Silver ตลอดจนเรื่องของวัสดุหนัง ที่มีให้เลือกทั้งหนัง Suede แบบเจาะรู, หนัง Soft Touch แบบเจาะรู หรือแม้กระทั่งหนังสังเคราะห์ก็ตาม
ปิดท้าย ด้วยการตอกย้ำสายพันธ์ความสปอร์ตผ่านสัญลักษณ์ GR ในส่วนต่างๆ เช่น พวงมาลัยหุ้มหนัง ที่มาพร้อมการตกแต่ง Center mark สีแดง, พนักพิงศีรษะคู่หน้า, ปุ่มสตาร์ทอัจฉริยะ, กุญแจรีโมท Smart key และพรมรองพื้นห้องโดยสาร ผสานด้วยแป้นคันเร่ง และแป้นเบรกสปอร์ต ที่ช่วยเติมเต็มความเร้าใจยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะแป้นคันเร่ง ซึ่งเป็นกุญแจนำไปสู่ความดุเดือดแห่งสมรรถนะ จากการปรับจูนเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร รหัส GD Super Power เจเนอเรชันที่ 2 เป็นพิเศษ อัปเกรดเรี่ยวแรงขึ้นเป็น 224 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ขยับเป็น 550 นิวตันเมตร จับคู่ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาพร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift รวมถึงระบบขับเคลื่อนซึ่งปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ คือ 2 ล้อ ความเร็วสูง (2H), 4 ล้อ ความเร็วสูง (4H) และ 4 ล้อ ความเร็วต่ำ (4L) โดยมี Differential Lock เฟืองท้าย ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพิ่มความมั่นใจในการลุยทุกเส้นทาง
ช่วงล่าง คืออีกจุดเด่นที่ได้รับการพัฒนา เพื่อรองรับสมรรถนะที่มากขึ้น จากการ “เปลี่ยน” ไปใช้ “โช้คอัพ” แบบโมโนทูบ (Monotube Shock Absorber) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เสริมเข้าไปกับพื้นฐานของช่วงล่าง อิสระ ปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลงในด้านหน้า ซึ่งจับคู่กับด้านหลังแบบแหนบซ้อน มาพร้อมดิสก์เบรกหน้า-หลัง ที่โดดเด่นด้วยคาลิเปอร์สีแดง ประทับตราสัญลักษณ์ GR ที่ไม่เพียงสร้างความมั่นใจเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกความเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแห่งยนตรกรรม PPV อย่างชัดเจนทีเดียว
Best Selling Brand & Best Export Brand
TOYOTA
ด้วยปัจจัยรอบด้าน เช่น ค่าครองชีพ, อัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “กำลังซื้อ” ลดลงไปตามสถานการณ์เศรษฐกิจ จนส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดในปี 2567 ที่กล้าพูดได้ว่าไม่ง่ายเลย สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ทำให้ตัวเลข 572,675 คัน คือยอดขายรวมในปี 2567 ซึ่งลดลงถึง 26.2% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา
แต่ในความ “ไม่ง่าย” ก็มีแนวโน้มที่ดีในส่วนของตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือก อย่างเช่น รถยนต์ไฮบริด (HEV) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในไทยที่เติบโตขึ้นถึง 29% แสดงให้เห็นถึงความต้องการด้านเทคโนโลยีของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งประเด็น คือ กลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) จาก “โตโยต้า” คือสัดส่วนสำคัญในการตรึงพื้นที่ผู้นำอันดับ 1 ไปด้วยยอดขายรถยนต์ 220,356 คัน คิดเป็น 38.5% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด แม้จะลดลง 17.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมาก็ตาม
โดยพระเอกหลัก ประกอบด้วยกลุ่มรถยนต์นั่ง ที่ความนิยม คือ Eco Car และกลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV) ที่มี YARIS Cross ที่เป็นพระเอก ซึ่งทำให้ “โตโยต้า” ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อย่างต่อเนื่อง ด้วยยอดจำหน่าย 66,912 คัน หรือคิดเป็น 29.9% แม้จะลดลงราวๆ 32.6% จากปีที่ผ่านมา
อีกหนึ่งกลุ่ม คือ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งทำยอดจำหน่ายที่ 153,444 คัน แม้จะลดลงจากปี 2566 ที่ผ่านมา ถึง 7.9% แต่ก็ยังสามารถครองอันดับ 1 ไว้ได้ จากส่วนแบ่งตลาดถึง 44% โดยส่วนหนึ่งเป็นผลงานของ TOYOTA HILUX Champ ที่ถูกพัฒนาให้รองรับการใช้งานต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภค และทำยอดขายไปได้ถึง 11,743 คัน หรือประมาณ 7.2% ในกลุ่มของรถกระบะ
ด้านสถานะ “การส่งออกรถยนต์ และการผลิต” ปี 2567 ที่ผ่านมา ท่ามกลางผลกระทบจากปัญหารุมเร้าต่างๆ “โตโยต้า” สามารถทำตัวเลขรวมที่ 536,145 คัน หรือลดลงเพียง 14% เท่านั้น เมื่อเทียบกับปี 2566 ขณะที่จำนวนตัวเลขการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เรียกได้ว่า “เซอร์ไพรส์” ทีเดียว เพราะตัวเลข 338,107 คัน หากเทียบจากยอดตัวเลขในปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่าลดลงเพียง 11% เท่านั้น และด้วยตัวเลขดังกล่าว ก็น่าจะพอแสดงให้เห็นได้ว่า ท่ามกลางความ “ไม่ง่าย” ในปี 2567 ที่ผ่านมา “โตโยต้า” ก็ยังสามารถรักษามาตรฐาน “ความเป็นผู้นำ” ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในเรื่องของ “ยอดจำหน่าย” และ “การส่งออก” จนสมควรที่จะต้องมอบทั้งรางวัล Best Selling Brand & Best Export Brand ให้อีกครั้งในปีนี้
Best Fuel EconomyPickup Under 3,500 c.c.
TOYOTA HILUX REVO
เมื่อ “การประหยัดน้ำมัน” คือ หนึ่งใน “เงื่อนไข” สำคัญของผู้บริโภค ที่ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของ “สมรรถนะ” และนั่นถือเป็นโจทย์ที่ไม่ธรรมดาทีเดียว ในการนำ 2 สิ่งบนเส้นขนานให้มาร่วมทางเดียวกัน เว้นแต่นี่คือ TOYOTA HILUX REVO ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ขั้วความต่างสามารถอยู่บนเส้นทางเดียวกันได้ ด้วยการพัฒนายกระดับขุมพลังดีเซล GD Super Power พิกัด 2.8 ลิตร รหัส 1GD-FTV (High) แบบ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC ขึ้นมาสู่เจเนอเรชันที่ 2
ประกอบด้วย การอัปเกรดระบบอัดอากาศใหม่ เลือกติดตั้ง VN Turbo แบบแปรผันใหม่ ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อสร้างความแรงที่ต่อเนื่อง และตอบสนองที่ดีเยี่ยมในทุกรอบความเร็ว, ติดตั้งเทคโนโลยี i-ART การฉีดน้ำมันอัจฉริยะ ที่ใช้เซ็นเซอร์คอมพิวเตอร์ควบคุมแต่ละหัวฉีดอย่างอิสระ และแม่นยำ ร่วมมือกับปั๊มคอมมอนเรลแรงดันสูงระดับ 250 MPa เพื่อฉีดจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นละอองฝอยยิ่งขึ้น เพื่อการเผาไหม้ที่หมดจด เสริมทัพด้วยอินเตอร์คูลเลอร์ที่ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้ง B10 และ B20
ซึ่งผลลัพธ์ของการพัฒนาก็คือ “สมรรถนะ” ที่สูงขึ้น 10% จากกำลังรวมสูงสุด 224 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร จับคู่กับระบบส่งกำลังที่มีทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้ลงตัวกับศักยภาพที่สูงขึ้น เพื่อการถ่ายทอดพละกำลังที่รวดเร็ว ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีอัตราการประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมอีกด้วยยืนยันจาก ECO Sticker ของ TOYOTA HILUX REVO เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.8 ลิตร หลากหลายรุ่นย่อย ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ที่จำหน่ายอยู่ในเมืองไทย ซึ่งมีผลตัวเลขตั้งแต่ 11.9-14.7 กม./ลิตร หรือเฉลี่ยราวๆ 13.3 กม./ลิตร ที่มากพอสำหรับการยืนยันความยอดเยี่ยม และเหมาะสมระหว่าง TOYOTA HILUX REVO และรางวัล Best Fuel Economy Pickup Under 3,500 c.c. อีกครั้งในปีนี้