FORD คว้า 2 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of The Year 2025

Ford คว้า 2 รางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ได้แก่ Ford Ranger Raptor เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร คว้ารางวัล BEST 4WD PETRO PICKUP และ Ford Everest รุ่น Platinum คว้ารางวัล BEST PPV DIESEL 4WD PPV UNDER 3,200 C.C. จากเวที Car of the Year 2025
BEST 4WD PETROL PICKUP
Ford Ranger Raptor 3.0 V6
ถ้าจะพูดถึง “King of Truck” ในเมืองไทย นาทีนี้คงไม่มีใคร “เหนือ” ไปกว่า Ford Ranger Raptor เจเนอเรชันที่ 2 ซึ่งมาพร้อมการพัฒนาขึ้นอีกระดับ เพื่อก้าวสู่ความเป็น High Performance Pickup ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ตั้งแต่งานดีไซน์ภายนอก ซึ่งพรีเมียมมากขึ้น ด้วยรายละเอียดต่างๆ เช่น ชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED พร้อมระบบปรับมุมลำแสงอัตโนมัติ และความโดดเด่นจากไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED รูป C-Clamp, ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED และชุดไฟท้ายแบบ LED
ตอกย้ำความเป็น High Performance Pickup ด้วยแผ่นโลหะกันกระแทกใต้ห้องเครื่อง ความหนาระดับ 2.3 มิลลิเมตร, บันไดข้างสีดำ และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว พร้อมยาง BFGoodrich K02 All-Terrain
ภายในห้องโดยสารมากับงานดีไซน์ที่บ่งบอกความเป็นยนตรกรรม High Performance Pickup ผ่านรายละเอียดความเป็น Ranger Raptor จากตัวอักษร Raptor ที่มีให้เห็นทั้งบนพวงมาลัย และบนเบาะนั่งคู่หน้า หุ้มด้วยวัสดุหนัง และหนังสังเคราะห์เฉพาะ Raptor เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังติดตั้งฟังก์ชันสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้อย่างครบครัน เช่น หน้าจอแสดงผลการขับขี่ขนาด 12.4 นิ้ว จับคู่กับหน้าจอแสดงผลแบบสี Multi-Touch ขนาด12 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบ Wireless ได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto,และระบบเชื่อมต่อเพื่อสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A พร้อมรองรับความบันเทิงทั้งจากเครื่องเสียง Bang & Olufsen และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา และด้านหลัง รวมถึงมีช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ UplifterSwitch ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้ Ford Ranger Raptor 3.0 V6 ขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร คือ สมรรถนะที่ดุเดือดจากเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบคู่ EcoBoost แบบ V6 ความจุ 3.0 ลิตร ที่มีการปรับแต่งโดย Ford Performance จนได้เรี่ยวสูงสุดที่ 397 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 583 นิวตันเมตร ที่ 3,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งติดตั้ง “ระบบล็อกเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า” มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (Front and Rear Electronic Locking Rear Differential
อีกทั้งยังมีการติดตั้งระบบไอเสียแบบแปรผันควบคุมด้วยไฟฟ้ามาให้เป็นครั้งแรก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ตั้งค่าเสียงได้ถึง 4 โหมด
เช่น โหมดเงียบ, โหมดปกติ, โหมดสปอร์ต และโหมดบาฮา ที่พิเศษขึ้นไปอีกระดับ จากการเสริมระบบป้องกันการรอรอบ (Anti-Lag System – ALS) เข้าไป เพื่อยกระดับความเร้าใจขึ้นอีกขั้น ด้วยการรักษาการหมุนของเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ความเร็วสูงต่อไปอีกราวๆ 3 วินาที เพื่อช่วยให้ตอบสนองได้ฉับไว ไม่ว่าจะในขณะออกจากโค้ง หรือระหว่างเปลี่ยนเกียร์ก็ตาม
นอกจากนี้ “ระบบช่วงล่าง” ยังเป็นอีกจุดเด่นสำคัญเช่นกัน กับพื้นฐานด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกอะลูมิเนียม 2 ชั้น พร้อม FOXTM Live Valve ขนาด 2.5 นิ้ว แบบมีระบบบายพาสภายใน พร้อมเหล็กกันโคลง ขณะที่ด้านหลังเป็นแบบคอยล์โอเวอร์ช็อค พร้อมโช้ค FOXTM Live Valve Shocks ขนาด 2.5 นิ้ว แบบมีซับแทงค์ และระบบบายพาสภายใน พร้อมด้วยวัตต์ลิงก์
ควบคู่ไปกับ “สมรรถนะ” คือ “ความมั่นใจ” เพราะนอกจากระบบดิสก์เบรกขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมครีบระบายความร้อน ที่ติดตั้งมาให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแล้ว Ford Ranger Raptor 3.0 V6 ยังได้รับการติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงเข้าไปอีกด้วย เช่น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ พร้อมระบบ Stop&Go และระบบควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบเปิด-ปิด ไฟสูงอัจฉริยะ, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบตรวจจับรถในจุดบอด และระบบตรวจจับขณะออกจากช่องจอด, กล้องมองรอบคัน 360 องศา, ระบบป้องกันการชนเมื่อถอยหลัง, ระบบช่วยการหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ, ไปจนถึงระบบตรวจจับลมยาง
และโดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็คือจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ Ford Ranger Raptor 3.0 V6 คือ “King of Truck” ในเมืองไทย ที่เหมาะสมกับรางวัล BEST 4WD PETROL PICKUP อย่างแท้จริง
BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c.
Ford Everest Platinum 3.0 V6
Ford Ranger Raptor 3.0 คือ “King of Truck”…ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ถ้า Ford Everest Platinum 3.0 V6 จะกลายเป็น “King of PPV” ซึ่งความเป็นที่สุดดังกล่าว แน่นอนว่า ไม่ใช่ทั้งเรื่อง “รูปลักษณ์ การตกแต่ง หรือแม้แต่กระทั่งออปชัน”
แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า “ศักยภาพ” จากขุมพลังอันดุดันของเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged ที่มีกำลังสูงสุดถึง 250 แรงม้า พร้อมแรงบิดรอบต่ำระดับ 600 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,750-2,250 รอบต่อนาที เพื่อการันตีความเร้าใจในเรื่องอัตราเร่ง จับคู่กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติ e-Shifter 10 สปีด สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยมีระบบ Terrain Management System ให้เลือกปรับโหมดการขับขี่ถึง 6 รูปแบบ เช่น Normal, Eco, Tow / Haul, Slippery, Mud / Ruts และ Sand เสริมด้วยการติดตั้ง Diff-Lock แบบไฟฟ้าที่ล้อคู่หลัง
ก่อนเสิร์ฟความคล่องตัวด้วย ระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงไฟฟ้า เสริมด้วยระบบช่วงล่าง
ด้านหน้าอิสระ ปีกนก 2 ชั้น พร้อมคอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ในด้านหน้า จับคู่กับด้านหลังแบบคอยล์สปริง พร้อมวัตต์ลิงก์ และเหล็กกันโคลง ที่ไม่เพียงนุ่มนวล และดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีเท่านั้น หากแต่ยังมอบการทรงตัวและการยึดเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
และทั้งหมดคือ “สมรรถนะ” เหนือคาดที่ถูกซุกซ่อนอยู่ใต้ภาพลักษณ์ยนตรกรรมอเนกประสงค์ระดับพรีเมียม ซึ่งแอบซ่อนความสปอร์ตเอาไว้อย่างแนบเนียน แต่สะดุดตาในรายละเอียดภายนอก เช่น กระจังหน้าดีไซน์พิเศษ สีโครเมียม Silk Chrome พร้อมตัวอักษร PLATINUM บนฝากระโปรง, ล้ออัลลอย ขนาด 21 นิ้ว และตราสัญลักษณ์ V6 บริเวณช่องระบายอากาศด้านข้าง ผสานเข้ากับการตกแต่งที่ช่วยเพิ่มความสะดุดตา โดยเฉพาะภายในห้องโดยสาร กับส่วนของเบาะนั่งหุ้มหนัง และหนังสังเคราะห์สีดำ ตกแต่งด้วยโลโกซิกเนเจอร์ PLATINUM รับกับการตกแต่งภายในแบบ PLATINUM
ประเด็นสำคัญ คือ “สมรรถนะ” จะถูก “เค้น” ถึงขีดสุดไม่ได้ หากไม่อยู่ภายใต้ “ความมั่นใจ” ซึ่ง Ford Everest Platinum 3.0 V6 มีให้ในแบบที่เรียกว่าครบเครื่องตามฐานะของรุ่นย่อยสูงสุด เพื่อยกระดับขีดความสามารถ ที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมทุกความต้องการทั้งรูปแบบการขับขี่แบบ On Road หรือแม้กระทั่ง Off Road ก็ตาม
ซึ่งนี่คือเหตุผลที่คณะกรรมการจาก Thailand Car of The Year 2025 ตัดสินใจเลือกให้ Ford Everest Platinum 3.0 V6 เหมาะสมที่สุดกับรางวัลอันน่าภาคภูมิใจ BEST PPV DIESEL 4WD UNDER 3,200 c.c.