Grand Prix Online

Main Menu

  • HOME
  • AUTO NEWS
    • Bizz News
      • NEW COMER
      • MODEL/MINORCHANGE
      • WORLD MOVEMENT
      • Corporate News
    • Achive
      • Car
      • Motorcycle
    • Promotion
    • Motorsport
      • MOTORSPORT NEWS
      • RACE RESULT
  • Motorcycle
    • Round Up News
    • NEW MODEL
    • Bike Technic
  • SPECIAL SCOOP
    • TOKYO MOBILITY
    • Test drive
    • REPORT
    • Classic Car
    • Interview
    • Modified
    • Technology
    • Tip&Technic
    • Insurance Tips
    • Variety Scoop
    • BOY’S TOY
    • Video
  • ABOUT US
    • ADVERTISING
    • CONTACT US
    • PRIVACY POLICY
  • INVESTOR RELATIONS
  • Work with us

logo

Header Banner

Grand Prix Online

  • HOME
  • AUTO NEWS
    • Bizz News
      • NEW COMER
      • MODEL/MINORCHANGE
      • WORLD MOVEMENT
      • Corporate News
    • Achive
      • Car
      • Motorcycle
    • Promotion
    • Motorsport
      • MOTORSPORT NEWS
      • RACE RESULT
  • Motorcycle
    • Round Up News
    • NEW MODEL
    • Bike Technic
  • SPECIAL SCOOP
    • TOKYO MOBILITY
    • Test drive
    • REPORT
    • Classic Car
    • Interview
    • Modified
    • Technology
    • Tip&Technic
    • Insurance Tips
    • Variety Scoop
    • BOY’S TOY
    • Video
  • ABOUT US
    • ADVERTISING
    • CONTACT US
    • PRIVACY POLICY
  • INVESTOR RELATIONS
  • Work with us
Report
Home›Special Scoop›Report›ไม่ได้มีแค่น้ำมัน! 6 ของเหลวในรถที่ควรใส่ใจ

ไม่ได้มีแค่น้ำมัน! 6 ของเหลวในรถที่ควรใส่ใจ

By นันทพงศ์ ภักดีบุตร
December 8, 2020
3325
0
Share:

นอกจากน้ำมันที่เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์เพื่อให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้ ในรถยนต์ยังมีของเหลวอื่นๆ อีกที่มีความสำคัญ เพราะส่งผลให้การทำงานต่างๆ ของรถเป็นไปอย่างสมบูรณ์รวมทั้งเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ขับรถที่ควรตรวจเช็กสภาพของของเหลวเหล่านี้ว่ายังมีลักษณะปกติ หรือมีปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ เพื่อที่จะทำการเติมหรือเปลี่ยนถ่ายก่อนที่จะส่งผลเสียต่อรถ

        1 น้ำมันเครื่อง

น้ำมันเครื่องเป็นหนึ่งในของเหลวที่มีความสำคัญต่อรถยนต์โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบเรียบและสม่ำเสมอ ซึ่งการที่ระดับน้ำมันเครื่องต่ำเกินไปอาจสร้างความเสียหายแก่เครื่องยนต์และนำมาสู่ค่าใช้จ่ายที่สูงตามมาได้ ดังนั้นจึงควรทำการตรวจสอบน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยทำหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วประมาณ 5 นาทีกับรถที่จอดอยู่บนพื้นราบ จากนั้นก็เปิดฝากระโปรงรถ เปิดช่องเติมน้ำมันเครื่อง แล้วดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาเช็ด จากนั้นจึงแหย่ลงไปอีกครั้ง เมื่อดึงขึ้นมาอีกครั้งระดับน้ำมันเครื่องควรอยู่สูงกว่าระดับ Min หรือระดับต่ำสุด หากต่ำกว่าระดับนี้ก็ควรเติมน้ำมันเครื่อง แต่ไม่ควรเติมจนเมื่อวัดระดับน้ำมันเครื่องแล้ว ก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องแสดงระดับน้ำมันเครื่องสูงกว่าระดับ Max ที่ก้านวัด

        นอกจากการตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่องแล้ว อีกสิ่งสำคัญในการดูแลน้ำมันเครื่องก็คือ เจ้าของรถยังควรที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะด้วยซึ่งจะแตกต่างตามระดับน้ำมันเครื่องคือ น้ำมันเครื่องเกรดธรรมดาทุก 5,000 กิโลเมตร, น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ทุก 7,500-8,000 กิโลเมตร และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ทุก 10,000 กิโลเมตร

        2 น้ำในหม้อน้ำ

        น้ำในหม้อน้ำเป็นสิ่งที่ช่วยให้เครื่องยนต์เย็นลงหรือไม่โอเวอร์ฮีต เพราะเป็นสิ่งที่นำพาความร้อนจากเครื่องยนต์มาลดอุณหภูมิลง โดยน้ำจะไหลเวียนไปตามท่อที่อยู่รอบๆ เครื่องยนต์แถวห้องจุดระเบิด แล้วไหลกลับมาที่หม้อน้ำเพื่อระบายความร้อนออกก่อนที่จะไหลไปรับความร้อนจากเครื่องยนต์ใหม่ ดังนั้นจึงควรที่จะตรวจสอบน้ำในหม้อน้ำเพื่อให้มีระดับตามที่กำหนดไว้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยหากอยู่ในระดับต่ำก็ควรเติมกลับเข้าไปใหม่ให้อยู่ในระดับที่กำหนด แต่ก็ไม่ควรเติมจนเต็มหรือสูงเกินไป โดยน้ำที่เติมในหม้อน้ำจะเป็นน้ำธรรมดาก็ได้ หรืออาจเป็นน้ำผสมน้ำยาหล่อเย็น (Coolant) เพื่อช่วยให้จุดเดือดของน้ำสูงขึ้น หรือน้ำเดือดช้าลง รวมช่วยป้องกันสนิทในหม้อน้ำด้วย เพราะน้ำยาหล่อเย็นจะมีหัวเชื้อป้องกันสนิมผสมอยู่

    นอกจากนี้หากพบว่าน้ำในหม้อน้ำลดลงผิดปกติหรือต้องเติมน้ำบ่อยๆ อาจต้องนำรถไปตรวจสอบดูว่ามีการรั่วของหม้อน้ำหรือไม่

 

        3 น้ำมันเกียร์

ในขณะที่น้ำมันเครื่องทำหน้าที่หล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบเรียบ น้ำมันเกียร์ก็เป็นสิ่งที่ทำหน้าหล่อลื่นลดการสึกหรอของเกียร์ซึ่งเป็นระบบส่งกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อให้ทำงานได้อย่างราบลื่นเป็นปกติ ดังนั้นจึงควรใส่ใจที่จะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตามกำหนดเพื่อให้เกียร์ของรถยนต์มีอายุการใช้งานที่ยืนยาว โดยทั่วไปแล้วรถเกียร์แมนนวลควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ปีละครั้ง ในขณะที่เกียร์อัตโนมัติมักจะเปลี่ยนที่ 30,000 ถึง 40,000 กิโลเมตรหรือประมาณปีละครั้ง แต่หากขับรถในลักษณะที่ทำให้มีการเปลี่ยนเกียร์บ่อยๆ ก็อาจจะต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์เร็วขึ้นที่ 10,000 ถึง 20,000 กิโลเมตร

        อย่างไรก็ตามนอกจากการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะที่กำหนดแล้ว ก็ควรหมั่นตรวจสอบดูลักษณะของน้ำมันเกียร์ด้วย ซึ่งหากน้ำมันเกียร์ยังเป็นสีเหลืองหรือสีแดงแสดงว่ายังอยู่ในสภาพปกติ แต่หากมีสีน้ำตาลหรือสีดำก็แสดงว่าควรที่จะเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ได้แล้วถึงแม้จะยังไม่ถึงระยะที่กำหนดก็ตาม

        4 น้ำมันเบรก

        น้ำมันเบรกเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อความปลอดภัย เพราะทำให้ระบบเบรกของรถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระดับน้ำมันเบรกที่ต่ำสามารถส่งผลให้ประสิทธิภาพในการหยุดรถลดลงและนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะดูให้น้ำมันเบรกอยู่ในระดับที่เหมาะสมดังนั้นจึงควรหมั่นตรวจสอบ ซึ่งหากพบว่าพร่องก็ควรเติมทันที และโดยทั่วไปแล้วควรจะเปลี่ยนถ่ายทุก 1 ปีหรือระยะ 40,000 กิโลเมตรแล้วแต่อะไรจะถึงก่อน หรืออาจดูคำแนะนำได้ได้จากคู่มือของรถ

        5 น้ำฉีดกระจก

        แม้ว่าจะไม่ใช่ของเหลวที่เกี่ยวกับการทำงานของรถ แต่น้ำฉีดกระจกก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อทัศนวิสัยในการขับรถ เพราะหากปราศจากสิ่งนี้แล้วจะทำให้ขจัดคราบหรือสิ่งสกปรกออกจากกระจกรถได้ยากขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งของเหลวที่ควรตรวจสอบดูและเติมให้เต็มอยู่เสมอ  อย่ารอให้รู้ตัวเมื่อไม่มีน้ำฉีดออกมา

 

6 น้ำมันเพาเวอร์

        หากรถที่ใช้เป็นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฮดรอลิก น้ำมันเพาเวอร์เป็นอีกหนึ่งของเหลวที่จำเป็นเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างราบลื่น โดยหากน้ำมันเพาเวอร์ไม่พอจะทำให้การบังคับเลี้ยวยากขึ้น รวมทั้งชุดเฟืองภายในอาจเสียหายเรื่องจากไม่มีน้ำมันเพาเวอร์ช่วยหล่อลื่น ดังนั้นจึงควรที่จะตรวจสอบดูเสมอไม่ต่างกับของเหลวอื่นในรถซึ่งปกติแล้วมักอยู่ในกระปุกใสมองเห็นได้ แต่หากไม่ใช่กระปุกใสที่มองเห็นน้ำมันได้ก็จะมีก้านวัดน้ำมันมาให้ใช้เพื่อตรวจสอบน้ำมันที่เหลืออยู่ หากพบว่ามีระดับที่ต่ำก็ควรเติมให้อยู่ในระดับที่พอดีและไม่ควรเติมมากเกินไปหรือสูงกว่าระดับที่เหมาะสม เพราะเมื่อขับรถแล้วน้ำมันร้อนมีการขยายตัวก็สามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้

        สำหรับการเปลี่ยนน้ำมันเพาเวอร์ควรทำทุก 80,000 กิโลเมตร หรือตามระยะที่กำหนดในคู่มือรถ

 

 

เรื่อง : กองบรรณาธิการ

เรียบเรียงข้อมูลโดย GRAND PRIX ONLINE

ติดตามข่าวสาร ยานยนต์ รถจักรยานยนต์ รถใหม่ ได้ที่ www.grandprix.co.th

Tagsknowlege - Lifestyleของเหลวในรถน้ำมันเกียร์น้ำมันเครื่องน้ำมันเบรก
0
Shares
  • 0
  • +
  • 0
  • 0

บทความแนะนำที่น่าสนใจ

บทความ รีวิว รถ ที่น่าสนใจ
บทความ ด้านสมรรถนะ ที่น่าสนใจ
บทความ รถออกใหม่ ที่น่าสนใจ
บทความ รถครอบครัว ที่น่าสนใจ
บทความ ด้านราคารถ ที่น่าสนใจ
บทความ ด้านดีไซน์รถ ที่น่าสนใจ
บทความ ด้านการซื้อรถ ที่น่าสนใจ
บทความเรื่องรถที่น่าสนใจ

About

logo_grandprix_online2016full

Grandprix Online กรังด์ปรีซ์ออนไลน์ ผู้นำข่าวสารยานยนต์

Thailand Automotive news leader and auto show. Our mission is the leading source of news about the global automotive industry.

Recent Posts

  • Lynk & Co 10 EM-P รถซีดานปลั๊กอินไฮบริดใช้ไฟฟ้าเดินทางได้เกือบ 200 กิโลเมตร
  • Koenigsegg Sadair’s Spear ไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่เน้นปรับปรุงสมรรถนะสำหรับสนามแข่ง
  • Lancia Ypsilon HF ตัวแรงของรถไฟฟ้ารุ่นเล็ก
  • ฟอร์ด ฉลองครบรอบ 29 ปี Growing Together-ส่งโปรฯ ช่วยผ่อน 29 งวด พร้อมแคมเปญพิเศษตอบแทนลูกค้า
  • New Mazda CX-3 Essential ขาย 4 รุ่น เริ่มต้นเพียง 699,000 บาท

Advertising

สนใจลงโฆษณา
ติดต่อ : 02-522-1731-8

  • Facebook
  • Youtube
  • Instagram