“อะไรคือ “ Ooho ” น้ำดื่มไร้ขวด....แถมยังลดกองขยะอีกต่างหาก

ขวดน้ำพลาสติกที่เราเห็นๆ กัน ล้วนก่อให้เกิดขยะเป็นพิษทั้งสิ้น แล้วเคยคิดไหมว่าถ้าเราไม่มีขวดน้ำพลาสติกไว้บรรจุน้ำเราจะทำอย่างไรกัน บางคนคิดว่าก็ใช้แก้วน้ำสิ ใช้ขวดน้ำที่ไม่ใช่พลาสติกสิ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถบรรจุน้ำได้แล้วพาไปไหนกับเราได้ทุกที่ แล้วจะเป็นไปได้ไหมล่ะ…..ถ้ามีวัสดุที่บรรจุน้ำเป็นเนื้อเยื้อใสๆ ไร้สี ไร้กลิ่น คล้ายรูปหยดน้ำกลิ้งบนใบบัว สามารถกินเข้าไปได้ทั้งหมด ทั้งน้ำและเปลือกหุ้ม เนื้อเยื้อตัวนี้สามารถย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติภายใน 4-6 วัน (ถ้าไม่กินเปลือกที่หุ้ม) โดยจุดเริ่มต้นมาจากนักศึกษา 3 คน จากอิมพีเรียล คอลเลจ กรุงลอนดอน จากประเทศอังกฤษ ใช้เวลาในการระดมทุน พัฒนากระบวนการผลิต พร้อมก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพชื่อว่า สคิปปิง ร็อคส์ แล็บ และได้คิดค้นขวดบรรจุน้ำแบบใหม่ นั่นก็คือ “โอ้โฮ” (Ooho) หรือเรียกว่า “หยดน้ำกินได้” นานอยู่ 2 ปีเศษๆ ก็สามารถผลิตในเชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว

“Ooho” เป็นน้ำดื่มที่บรรจุอยู่ในเนื้อเยื้อใสๆ ตัวนี้บอกได้เลยว่า เปลี่ยนการดื่มน้ำที่เป็นพลาสติกแบบปกติไปอย่างสิ้นเชิง ตัวเนื้อเยื้อนี้เป็นเนื้อเยื้อชีวภาพประกอบด้วย โซเดียม อัลจิเนท และ แคลเซียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สกัดได้จากสาหร่ายทะเลเป็นหลัก สามารถกินได้ แต่งสีได้ แต่งกลิ่น และรสชาดที่ชวนให้ทุกคนอยากจะลิ้มลองอีกด้วย

บริษัทสกิปปิง ร็อคส์ แล็บ ระบุว่า การออกแบบเป็นทรงกลม เพื่อให้เหมาะกับการบรรจุและขนย้าย ทั้งยังสามารถเพิ่มขยายปริมาณของน้ำได้ตามความต้องการ เมื่อเทียบกับขวดน้ำพลาสติก นอกจากจะกินได้แล้วยังช่วยแก้ไขปัญหาขยะจากขวดพลาสติกที่ล้นเมืองได้อีกด้วย แค่เพียงในระยะสั้นๆ ก็สามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้บ้าง ซึ่งวิธีการผลิต “โอ้โฮ” (Ooho) ก็คือการนำน้ำดื่มที่อยู่ในสภาพของน้ำแข็งทรงกลมในปริมาตรที่ต้องการมาจุ่มลงในภาชนะให้เนื้อเยื้อในภาชนะเคลือบผิวน้ำแข็งทั้งหมด ปล่อยให้น้ำภายในละลายก็จะได้ “Ooho” (โอ้โฮ) น้ำดื่มที่ไม่ต้องใส่ขวดพลาสติกอีกต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม “โอ้โฮ” (Ooho) จะเสียเปรียบที่เป็นผลิตภัณฑ์จากขวดพลาสติก นั่นก็คือ มันไม่สามารถจะโยนลงเป้เพื่อพกพาไปไหนมาไหนก็ได้เหมือนขวดน้ำพลาสติก เพราะมันมีความนิ่มและเปราะบางมาก และอีกอย่างพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะทิ้งขวดน้ำพลาสติกทันทีหลังจากที่ดื่มน้ำหมด พูดง่ายๆ คือ ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วก็ทิ้ง มันจึงส่งผลให้เกิดปริมาณของขยะอย่างมากมาย ดูง่ายๆ จากบ้านเรานั่นเองคะ