EV vs REEV ระบบขับเคลื่อนแบบไหนน่าใช้กว่ากัน หลายท่านคงเห็นกันอยู่แล้ว ว่าตลาดรถยนต์ในบ้านเราก่อนหน้านี้ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับความนิยมมาก โดยมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ หลายหลายเซ็กเม้นท์ จากหลากหลายแบรนด์ แข่งกันแบบเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะค่ายจากประเทศจีน แต่ในปัจจุบันหลายค่ายจากจีน กลับหันมาเปิดตัวรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบ REEV กันมากขึ้น เรามาดูกันครับว่าข้อดี ข้อเสีย ของระบบขับเคลื่อนทั้ง 2 นี้ มีอะไรบ้าง แล้วเราจะเลือกซื้อรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนแบบไหนถึงจะตรงกับไลฟ์สไตล์เราที่สุด EV vs REEV

รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV: Electric Vehicle) และรถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง (REEV: Range-Extended Electric Vehicle) มีความแตกต่างกันในแง่ของระบบขับเคลื่อน พลังงาน และการใช้งาน ซึ่งสามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียได้ดังนี้

รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (EV)

ข้อดี:

1. ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission)

   • ไม่มีไอเสีย เพราะไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน

2. ค่าบำรุงรักษาต่ำ

   • ไม่มีระบบน้ำมันเครื่อง, เกียร์, ท่อไอเสีย ฯลฯ

3. ค่าใช้จ่ายในการชาร์จต่ำกว่าค่าน้ำมัน

4. ขับเงียบ, อัตราเร่งดีเยี่ยม

   • มอเตอร์ไฟฟ้าให้แรงบิดทันที

ข้อเสีย:

1. ระยะทางจำกัด

   • ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ (โดยเฉลี่ย 300–500 กม. ต่อการชาร์จ)

2. โครงสร้างชาร์จยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่

   • โดยเฉพาะนอกเมืองหรือต่างจังหวัด

3. เวลาในการชาร์จนาน

   • แม้มีระบบชาร์จเร็ว ก็ยังใช้เวลาหลักสิบนาทีถึงชั่วโมง

4. ราคาค่าทำประกันแพงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป และราคาขายต่อหายเยอะ

รถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะทาง (REEV)

REEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้วน แต่มีเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็กทำหน้าที่เป็น “เครื่องปั่นไฟ” เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ ไม่ได้ขับเคลื่อนล้อโดยตรง

ข้อดี:

1. ใช้ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทาง

   • หากแบตหมด เครื่องยนต์จะทำงานปั่นไฟให้ต่อได้

2. เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง + เดินทางไกล

3. ลดความกังวลเรื่องโครงสร้างชาร์จ

4. อาจใช้แบตเตอรี่เล็กกว่า EV ทำให้ราคาถูกลง

ข้อเสีย:

1. ยังมีการปล่อยมลพิษ (แม้น้อยกว่ารถน้ำมันทั่วไป)

2. ระบบซับซ้อนกว่า EV

   • มีทั้งมอเตอร์, แบตเตอรี่ และเครื่องยนต์ปั่นไฟ ต้องดูแลหลายระบบ

3. น้ำหนักมากกว่ารถ EV หรือ ICE แบบเดี่ยว

4. ค่าบำรุงรักษาสูงกว่า EV เพราะยังมีเครื่องยนต์

สรุปเปรียบเทียบ EV vs REEV